ในที่สุดก็ถึงวันเดินทางเข้าเมืองหลวงของบ้านสกุลฉู่ โดยเป็นเวลาเดียวกับจางเหยียนที่จวนจงอี้ป๋อส่งมาในนามของท่านป๋อผู้เฒ่าเดินทางกลับถึงเมืองหลวง
การเดินทางไปเซียงโจวหนนี้ความทุกข์ระทมที่จางเหยียนสัมผัสนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าที่พ่อบ้านหูเผชิญเลย นอกจากล้มป่วยระหว่างทางจนต้องลงจากเรือเพื่อรักษาโรคแล้ว ตอนพ่อบ้านหูเพียงรักษาตัวอยู่สี่ห้าวันก็ออกเดินทางต่อได้ ทว่าด้วยอายุที่มากของจางเหยียน สิบวันผ่านไปเขาก็ยังป่วยซมไร้เรี่ยวแรง ทว่าจะไม่กลับไปก็ไม่ได้ จำใจต้องฝืนเดินทางต่อ
ด้วยเหตุนี้เมื่อลงจากเรือที่ทงโจวแล้ว เขาก็พักรักษาตัวอีกหลายวัน ครั้นมีแรงเดินเหินแล้วถึงได้รีบร้อนกลับไปรายงานที่จวนจงอี้ป๋อ
“พ่อบ้านหูไปเซียงโจวเที่ยวหนึ่งใช้เวลาเกือบเดือน แต่เจ้าใช้เวลาไปเกือบสองเดือน นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!” ฉู่เจาหมิงโมโหเดือดดาลเป็นที่สุด ยังคิดว่าจางเหยียนหนีไปแล้วด้วยซ้ำ ในที่สุดก็เห็นคนกลับมา ทว่าคนกลับมาเพียงลำพัง นี่มิใช่หมายความว่าภารกิจล้มเหลวหรือไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไยถึงต้องลากเวลามานานถึงเพียงนี้
“คงเป็นเพราะดินฟ้าอากาศของเซียงโจวไม่ถูกกับบ่าวขอรับ” จางเหยียนอธิบายเพียงให้เข้าใจ อย่างไรก็เคยมีคนก่อนหน้าแล้ว เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ท่านป๋อย่อมเข้าใจกระจ่าง ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายเล่าอีกรอบ
ฉู่เจาหมิงอดกัดฟันกรอดไม่ได้ “เจ้าบอกว่าเซียงโจวจะขวางทางจวนจงอี้ป๋อให้ได้อย่างนั้นหรือ”
จางเหยียนรีบร้อนส่ายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย เขารีบชี้แจงว่าตนเองอายุมากแล้ว ร่างกายทนรับการเดินทางไกลไม่ได้ กระนั้นในใจก็คิดเช่นอีกฝ่ายว่าจริงๆ หากมิใช่เพราะเซียงโจวคิดขวางทางจวนจงอี้ป๋อให้จงได้ ไยส่งผู้ใดไปก็ล้วนตกที่นั่งลำบากถึงเพียงนี้กันหมดเล่า
“ว่ามาเถิด” ฉู่เจาหมิงคร้านพูดให้มากความอีก ทำความเข้าใจท่าทีของเจ้าสี่ก่อนจะดีกว่า
“ข้าไม่ได้พบนายท่านสี่ขอรับ”
“อะไรนะ!” ฉู่เจาหมิงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
จางเหยียนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นโดยละเอียด เริ่มจากไปที่บ้านแต่ไม่เจอคน ก่อนจะรู้ว่าครอบครัวนายท่านสี่ย้ายไปในเมืองแล้ว ต่อด้วยไปหาและได้พบคุณหนูสาม ได้รู้ว่านายท่านสี่ออกทะเลทำการค้าจวบจนบัดนี้ยังไม่กลับ เขากังขาในข้อนี้ภายหลังจึงได้สืบถามไปทั่วก่อนจะพบว่าเป็นความจริง นายท่านสี่หายสาบสูญไป
ฉู่เจาหมิงไม่อยากเชื่อโดยแท้ “เจ้าสี่หายสาบสูญไปจริงๆ รึ”
“ไม่ผิดแน่นอนขอรับ สองปีนี้พวกเขาล้วนอาศัยงานปักของนายหญิงสี่กับคุณหนูหกหาเลี้ยงชีพ ทว่างานปักของพวกเขาได้รับความนิยมมาก ชีวิตจึงดีขึ้นเรื่อยๆ”
ฉู่เจาหมิงไม่ใส่ใจแม้แต่นิดว่าชีวิตพวกเขาเป็นเช่นไร สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือ “เรื่องหยกมังกรเป็นอย่างไร”
“บ่าวทำตามคำสั่งของท่านป๋อมอบหยกขาวมันแพะแลกเปลี่ยนกับหยกมังกร แต่คุณหนูสามดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องหยกมังกรเลยขอรับ”
“นางย่อมต้องพูดว่าไม่รู้แน่” เจียงซื่อก้าวฉับๆ เข้ามาในห้องหนังสือนอกด้วยใบหน้ายิ้มหยันพลางนั่งลงบนเตียงเตา “หยกมังกรครึ่งซีกนั้นจะช่วยให้นางหนูสามเอื้อมถึงจวนอู่หยางโหวได้ เหตุใดพวกเขาต้องส่งมอบของให้พวกเราด้วยเล่า”
ฉู่เจาหมิงส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “หากไม่มีจวนจงอี้ป๋อ อู่หยางโหวจะต้องปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้แน่นอน”
“ถึงจะมีจวนจงอี้ป๋อ จวนอู่หยางโหวก็ไม่มีทางยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ นายท่านสี่เป็นแค่ลูกที่เกิดจากอนุภรรยา ทั้งยังเป็นลูกอนุภรรยาที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักเรื่อง กระทั่งไปยั่วโทสะท่านป๋อผู้เฒ่าจนถูกไล่ออกจากบ้าน” เจียงซื่อสาดน้ำเย็นขัดวาจาสามีอย่างไม่ไว้หน้าสักนิด ระยะนี้นางอาศัยโอกาสต่างๆ หมายตีสนิทฮูหยินของอู่หยางโหว ทว่ากระทั่งมองนางตรงๆ ยังไม่มีเลย…และมิใช่แค่ไม่มองตรงๆ เท่านั้น นางยังรู้สึกว่าในสายตาของฮูหยินของอู่หยางโหวยังมองนางเหมือนเป็นแมลงเหม็นเน่าน่ารังเกียจตัวหนึ่ง
นี่คือความจริง พอเรื่องนี้เข้าหูฉู่เจาหมิงแล้วก็บาดหูเขายิ่งนัก เพราะประเด็นที่แท้จริงของเจียงซื่ออยู่ที่…จวนอู่หยางโหวไม่เห็นจวนจงอี้ป๋ออยู่ในสายตา