ฉู่เจาหมิงยับยั้งชั่งใจไม่อยู่จนเอ่ยต่อว่าอีกฝ่ายด้วยโทสะว่า “หญิงผมยาวความรู้สั้น เช่นเจ้าคิดหรือว่าท่านพ่อต้องการไล่เจ้าสี่ออกจากบ้านจริงๆ มีท่านแม่คอยข่มเหงรังแกเช่นนี้ การที่เจ้าสี่อยู่ที่นี่ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่มีทางทำอะไรได้สำเร็จเลยสักอย่าง!”
ผมยาวความรู้สั้น?! เจียงซื่อมองเขาด้วยสายตาดูแคลน คนปัญญาน้อยที่แท้จริงคือพวกเจ้าคนสกุลฉู่ต่างหาก! “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยฮูหยินผู้เฒ่าจึงยอมให้ท่านป๋อผู้เฒ่าขับไล่นายท่านสี่ออกไปเล่า”
“ท่านแม่ไม่เห็นเจ้าสี่อยู่ในสายตาสักนิด เชื่อว่าเจ้าสี่เป็นคนไม่เอาไหน ยิ่งไม่มีจวนจงอี้ป๋อคุ้มครอง ยิ่งไม่อาจสร้างชื่อเสียงได้” หากไม่มี ‘คนหวังดี’ บอกกล่าว จนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าที่ตัวเจ้าสี่มีของแทนใจล้ำค่าถึงเพียงนั้น แต่มารู้ในตอนนี้ก็สายเกินไป คนถูกไล่ออกไปแล้วจะให้กลับมาอีกมิใช่เรื่องง่าย
“น่าเสียดาย ลูกคิดคำนวณพลาดเสียแล้ว” เจียงซื่อหัวเราะเยาะเย้ย
ฉู่เจาหมิงขมวดคิ้วไม่พอใจ “เจ้าจะพูดประชดประชันให้มันน้อยลงหน่อยไม่ได้รึ!”
“ท่านอย่าได้เปลืองสมองอีกเลย ถึงหยกมังกรครึ่งซีกนั่นอยู่กับนางหนูสาม นางก็ไม่มีทางเอาออกมาให้หรอก”
ฉู่เจาหมิงใคร่ครวญแล้วก็ส่ายหน้าเอ่ย “เจ้าสี่เป็นคนรอบคอบ สองสกุลยังไม่แลกเปลี่ยนเทียบชะตา แม้แต่น้องชายน้องสาวก็ไม่มีทางรู้ ยิ่งไม่มีทางบอกนางหนูสาม นางหนูสามน่าจะไม่เคยเห็นหยกมังกรจริงๆ”
เจียงซื่อแค่นเสียงหัวเราะ เอ่ยประหนึ่งสั่งสอน “นางหนูสามเคยเห็นหยกมังกรหรือไม่มิใช่เรื่องสำคัญ บัดนี้นายท่านสี่หายสาบสูญไปก็เทียบเท่าคนตายไม่มีปากเสียง จวนอู่หยางโหวสามารถทำลายการแต่งงานนี้ได้ตามใจชอบ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร” ฉู่เจาหมิงเอ่ยขึ้นอย่างแข็งกร้าว เป็นสามีภรรยามาหลายปีเขาจะยังไม่เข้าใจความคิดของเจียงซื่ออีกหรือ นางดูแคลนเขา เห็นว่าเขาไม่เอาไหน หากมิใช่มีบรรดาศักดิ์เขากับเจ้าสี่ก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่มาวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว คนที่เขาใกล้ชิดด้วยผู้นี้เป็นคนใหญ่คนโต ขอแค่เอาหยกมังกรครึ่งซีกนั้นมาได้ จะต้องทำให้เขาเป็นพ่อตาของอู่หยางโหวซื่อจื่อได้อย่างแน่นอน สำนักราชยานก็ไม่อาจกักขังเขาได้อีกต่อไป
เห็นสีหน้าฉู่เจาหมิงดูลิงโลดขึ้นทุกที เจียงซื่อมีหรือจะไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ นางจึงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “ผู้อยู่เบื้องหลังจวนอู่หยางโหวคือฝ่าบาท ผู้ใดจะสูงส่งเหนือฝ่าบาทได้อีก”
ฉู่เจาหมิงพลันสะอึกพูดไม่ออก ไม่มีใครสูงส่งเหนือฝ่าบาทจริงๆ
“หากข้าเป็นท่านจะละทิ้งความคิดเหล่านั้นเสียแต่เนิ่นๆ ไม่เสียเวลาไปเซียงโจวอีก” ฉู่เจาหมิงสะบัดแขนเสื้ออย่างหัวเสีย แล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องหนังสือนอก จางเหยียนเห็นแล้วก็รีบตามหลังไปเงียบๆ
แม้นั่งเรือจากเซียงโจวเข้าเมืองหลวงจะใช้เวลาแค่สิบวัน ทว่าสกุลฉู่กลับเดินทางนานกว่าครึ่งเดือน เพราะทุกครั้งที่ถึงสถานที่หนึ่งเซียวอวี้ก็จะจัดการให้พวกเขาลงจากเรือกินเที่ยวสักหนึ่งมื้อ และช่วงเวลานี้เองคนในบ้านสกุลฉู่ตั้งแต่เจ้านายจนถึงบ่าวรับใช้ล้วนรู้สึกว่าอู่หยางโหวซื่อจื่อเป็นคนดีทั้งสิ้น แน่นอนว่าฉู่อวิ๋นจิ้งก็เกิดความรู้สึกเช่นนี้ แต่เพื่อไม่ให้ตนเองเผลอใจหลงใหลเขาเข้า นางจึงได้แต่เอ่ยเตือนกับตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า…เซียวอวี้เพียงสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพวกข้า ภายหน้าเมื่อตามหาท่านพ่อพบแล้ว เขาก็จะยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครในสกุลฉู่โทษว่าเป็นความผิดเขา
ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ล้วนทำเหมือนตนเองกำลังเที่ยวชมภูเขาลำน้ำ ไม่มีใครไม่สำราญใจ
คืนก่อนถึงจุดหมายปลายทางฉู่อวิ๋นจิ้งก็ทำปิ้งย่างอาหารทะเล ซึ่งเข้าคู่กับน้ำแกงปลาที่กินแล้วรู้สึกสดชื่นให้กับทุกคนโดยเฉพาะ เมื่อเห็นความยิ่งใหญ่ของงานเลี้ยงปิ้งย่างบนตะแกรง ในที่สุดฉู่อวิ๋นจิ้งก็ตระหนักได้ถึงความหรูหราโอ่อ่าของเซียวอวี้ว่ามีมากเพียงไร
เรือที่พวกเขานั่งเป็นเรือของจวนอู่หยางโหว แน่นอนว่าไม่อาจเทียบได้กับเรือของราชสำนัก กระนั้นก็ดูวิจิตรประณีตยิ่งกว่า