บทที่ 143
เกี่ยวกับการตัดสินใจโยกย้ายไปเป่ยไห่ ที่จริงชุยสิงโจวก็ครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่นานถึงตัดสินใจได้
แต่เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะการเบียดเบียนของสกุลสือกับความระแวงของฮ่องเต้
หลังจากอยู่ที่เมืองหลวงมานานเพียงนี้ ชุยสิงโจวก็นับได้ว่าคุ้นชินกับพฤติกรรมแปรปรวนของขุนนางเมืองหลวงแล้ว แม้เขาจะเรียนรู้วิธีการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นเช่นกัน แต่ว่าลึกๆ ข้างในกลับเบื่อหน่ายรำคาญยิ่ง
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันชำนาญกลยุทธ์ถ่วงดุลอำนาจ ตนเองก็แค่หมากเม็ดหนึ่งในมือพระองค์
หลังโค่นล้มสุยอ๋อง เอาชนะสกุลกง ไหวหยางอ๋องเคยไปเดินในค่ายทหารของตนเอง พบว่าทหารเจินโจวที่ห้าวหาญในวันวานค่อยๆ เปลี่ยนไปเพราะอยู่ในสถานที่หรูหราอย่างเมืองหลวงแห่งนี้ ภายในค่ายทหารมีคนแอบเล่นพนันกัน ซ้ำยังมีพวกจับกลุ่มกันออกไปเดินตรอกนางโลมด้วย
ความสบายเป็นข้อห้ามใหญ่ของทหาร เมื่อเป็นเช่นนี้ไปนานๆ ทหารเจินโจวจะไม่ใช่ทหารหาญที่กำราบโจรภูเขาหยั่งซาน ปราบปรามความไม่สงบของซีเป่ยอีกต่อไป
ยามนั้นชุยสิงโจวยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองไปทางทิศของเป่ยไห่และใคร่ครวญอยู่นาน ก่อนตัดสินใจมอบราชสำนักให้สกุลสือกับพรรคพวกเก่าภูเขาหยั่งซานต่อสู้กัน ส่วนเขาจะรับตราผู้บัญชาการทหารมุ่งหน้าไปปราบปรามความไม่สงบของเป่ยไห่
ตอนที่ชุยสิงโจวยอมรับตราผู้บัญชาการทหารอย่างง่ายดาย ทั่วทั้งราชสำนักต่างตกใจ
กระทั่งหลิวอวี้เองยังเสนอความคิดนี้อย่างไม่คาดหวัง พระองค์ไม่ได้หวังให้ชุยสิงโจวนำทัพไปด้วยตนเอง แต่คาดหวังว่าจะโยกย้ายทหารบางส่วนในมือเขาไปสนับสนุนเป่ยไห่ เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งช่วยแก้ปัญหาด่วนของเป่ยไห่ ทั้งลดทอนอำนาจทหารของชุยสิงโจว การกระทำเดียวแต่สำเร็จสองทาง
แต่ชุยสิงโจวกลับตัดสินใจหนึ่งไม่ทำสองไม่เลิกรา พาทหารทั้งหมดรวมถึงตนเองมุ่งหน้าไปยังเป่ยไห่
วันนั้นในท้องพระโรงผู้มีความสามารถพอจะเป็นจ้วงหยวนแต่ไม่อาจสอบเตี้ยนซื่อในวันวานถวายฎีกาขอออกศึกอย่างผ่าเผย ภายในฎีกาบรรยายสภาพเป่ยไห่โดยละเอียด รวมถึงความทุกข์ยากของราษฎรในท้องที่ เขากับทหารของตนเองเต็มใจทุ่มเทสุดความสามารถ หากไม่กวาดล้างชาววอจะไม่กลับมาเด็ดขาด
เสียงของชุยสิงโจวทุ้มต่ำและมีเสน่ห์ ตอนที่อ่านออกมาแต่ละพยางค์มีท่าทีอย่างคนทุบหม้อข้าวจมเรือ ผู้ที่ได้ยินไม่มีใครไม่ซาบซึ้งจนปาดน้ำตา ภายในอกลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรง
หลิวอวี้กลับรับฟังจนสีหน้าเคร่งขรึม แต่ว่าในเมื่อมีคนเสนอตัวรับเผือกร้อนนี้ก่อนเอง หลิวอวี้ย่อมไม่สะดวกจะกล่าวอะไรเช่นกัน หลังเงียบขรึมอยู่นาน ท้ายที่สุดจึงเอ่ยปากอนุญาตตามความต้องการของไหวหยางอ๋อง
วันนั้นตอนเลิกประชุมเช้า หลิวอวี้รั้งตัวชุยสิงโจวไว้ตามลำพัง ฮ่องเต้ขุนนางสองคนพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรถึงหนึ่งชั่วยามอย่างใจเย็น เปิดอกกันอย่างหาได้ยาก
ชุยสิงโจวเก็บท่าทีโอหังเมื่อก่อนกลับไป ใคร่ครวญถึงสถานการณ์ขุนนางในราชสำนักในปัจจุบันกับหลิวอวี้อย่างจริงใจ
เขาเอ่ยกับหลิวอวี ‘หากพูดถึงราชสำนักที่ใสสะอาด ควรให้คนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ เลี้ยงดูบุคคลมีความสามารถให้เป็น แต่มิใช่เล่นพรรคเล่นพวก มิใช่เวลาขุนนางยื่นฎีกาจะต้องคอยใคร่ครวญผลดีผลเสีย หวั่นเกรงการยืนอยู่ตามลำพัง หวั่นว่าจะสร้างศัตรูนับไม่ถ้วน ยามนี้ภัยของเป่ยไห่ย่อมอันตราย อย่างไรก็ตามเพลิงลับที่สั่งสมอยู่ในราชสำนักก็ไม่อาจดูแคลน มันฝังตัวลึกพันลี้ ทันทีที่เจอลมพัดก่อให้เกิดสะเก็ดไฟก็พร้อมจะกลายเป็นทะเลเพลิงทันใด’
หลิวอวี้เข้าใจว่าที่ชุยสิงโจวหมายถึงคือการต่อสู้ของสกุลสือกับพรรคพวกเก่าภูเขาหยั่งซานในขณะนี้ กลุ่มขุนนางถูกบังคับให้เลือกข้าง ฎีกาจากขุนนางในทุกวันถ้าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยจุกจิกก็เป็นการพยายามขุดลอกคลองสักสายที่ฝั่งใดเป็นคนดูแล จากนั้นต่อสู้กันจะเป็นจะตายอยู่นานก็ไม่ได้ผลลัพธ์
เรื่องที่ในช่วงนี้ทั้งสองฝ่ายความคิดเห็นตรงกันอย่างหาได้ยากก็คือการส่งตัวไหวหยางอ๋องไปปราบชาววอยังเป่ยไห่
ตอนนี้ได้ยินชุยสิงโจวพูดเรื่องนี้ออกมาตรงๆ โดยไม่หลีกเลี่ยง ความจริงหลิวอวี้เองก็รู้สึกเข้าใจ พระองค์ถอนหายใจยาวก่อนกล่าว “คำพูดของเจ้าพูดอย่างง่ายดายเกินไป แต่เวลาลงมือปฏิบัติจริงกลับแสนยากเย็น มิฉะนั้นเจ้าจะตัดสินใจหลบไปไกลยังเป่ยไห่หรือ”
ชุยสิงโจวเอ่ยอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาททรงดูเหมือนคนสบายๆ ความจริงในพระทัยมีแผนการอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางผ่านเหตุพลิกผัน ล้มไทฮองไทเฮาชั่วลงได้ แต่บัดนี้ฝ่าบาททรงนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างมั่นคง ย่อมเข้าใจความแตกต่างของการปกครองบ้านเมืองกับโจมตีบ้านเมือง ขณะนี้การสอบขุนนางใกล้เข้ามาแล้ว หวังว่าฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกบัณฑิตที่ปราศจากความเกรงกลัวมาได้มาก เชื่อว่าพวกเขาจะกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของฝ่าบาท สนับสนุนฝ่าบาทปกปักรักษาแผ่นดิน ขณะที่กระหม่อมเป็นขุนนางบู๊ผู้หนึ่ง รั้งอยู่ในราชสำนักก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ไปชายแดนช่วยขจัดเภทภัยให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะได้ทรงทุ่มเทปกครองผืนแผ่นดินต้าเยี่ยนได้โดยไร้กังวล’
ฟังมาถึงตรงนี้หลิวอวี้ก็เข้าใจแล้ว ชุยสิงโจวกำลังเสนอให้พระองค์คัดเลือกบัณฑิตใหม่ เลี่ยงขุนนางเก่าแก่ที่หลงลำพอง หัวแข็งดื้อรั้นอย่างพวกสกุลสือและคนเก่าแก่เหล่านี้