บรรยากาศในจวนสกุลเหลียงวันนี้ต่างจากวานซืน
หากบอกว่าวานซืนผู้ใหญ่ผู้น้อยในจวนสกุลเหลียงให้ความรู้สึกกระตือรือร้น ผสมด้วยความอยากรู้อยากเห็นปนฉงนสงสัย จวนสกุลเหลียงในวันนี้ก็ต้องบอกว่าดูอึมครึมขึ้นมาก ให้กลิ่นอายเงียบเหงาวังเวงอยู่ในที หลังจากเข้ามาในจวนหนุ่มสาวทั้งสองก็แยกกันดำเนินการ หลิงปู้อี๋ไปหาผู้ว่าการเหลียงอย่างฉับไว เฉิงเซ่าซางยังคงไปพบชวีหลิงจวินก่อน ไม่คาดกลับมีฉากเด็ดหนึ่งฉากแทรกเข้ามาให้ได้ชม
เดิมในลานเรือนของชวีหลิงจวินปลูกพันธุ์ไม้ล้ำค่าหลากชนิด บัดนี้ล้วนถูกรื้อออกจนไม่เหลือ เผยให้เห็นพื้นที่ราบโล่งซึ่งปูด้วยแผ่นหิน ตรงนั้นมีกลุ่มบ่าวชายร่างกำยำบ้างถือพลองบ้างถือเชือกยืนหน้าขรึม กึ่งกลางมีคนเจ็ดแปดคนถูกกดอยู่กับพื้น กำลังถูกโบยดังเพียะพะ เฉิงเซ่าซางสังเกตได้ว่าเจ็ดแปดคนนี้ล้วนไม่ได้ถูกอุดปาก คล้ายเจตนาให้พวกเขาเปล่งเสียงร้องโหยหวนเพื่อให้ใครสักคนได้ยิน
หยวนเซิ่นยืนอยู่ใต้ทางระเบียง เสื้อคลุมกำมะหยี่ทอลายสีไพลินพัดพลิ้วล้อลม ตัวคนสูงระหง ท่วงทีสง่าผ่อนคลาย
เฉิงเซ่าซางชะงักกึก “ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้” ที่นี่เป็นเขตเรือนชั้นในมิใช่หรือไร
หยวนเซิ่นส่งยิ้มน้อยๆ ให้นาง “วันนี้ท่านแม่ข้ามาด้วย”
เหลียงชิวเฟยซึ่งถูกหลิงปู้อี๋ส่งมาติดสอยห้อยตามเฉิงเซ่าซางรีบประสานมือกล่าวหน้าบึ้ง “ข้าน้อยคารวะคุณชายหยวน” จากนั้นพูดเร่งรัดโดยไม่รอให้เฉิงเซ่าซางกับหยวนเซิ่นโอภาปราศรัยแม้สองประโยค “นายหญิงน้อย เวลาไม่รอคน ท่านรีบเข้าไปสอบถามชวีฮูหยินเถิดขอรับ”
เฉิงเซ่าซางคิดว่าถูกต้อง จึงผงกศีรษะเป็นการอำลาหยวนเซิ่น แล้วถอดรองเท้าขึ้นบันได ผลุบเข้าห้องชั้นในไปอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ในห้องตอนนี้น่าสนใจยิ่งยวด ราวละครชีวิตฉากหนึ่ง
ผู้ที่นั่งสูงอยู่ตรงกลางเบื้องบนเป็นฮูหยินชุดขาว ท่าทางอายุสี่สิบกว่า รูปโฉมงดงามยิ่ง เพียงแต่สีหน้าอ้างว้าง ให้ความรู้สึกอมทุกข์ ดูคล้ายไม่ค่อยไยดีเรื่องใดในใต้หล้านี้ บนศีรษะกลัดปิ่นหยกขาวที่วาวใสหนึ่งอัน ริมหูประดับตุ้งติ้งหยกขาวหนึ่งคู่ ข้อมือซ้ายสวมกำไลหยกขาวสลักลายอักษร ‘หุย’* หนึ่งวง ข้างเอวกลับห้อยวงแหวนลูกปัดแก้วสีแดงชาดสะดุดตาหนึ่งอัน…สตรีผู้นี้คงจะเป็นเหลียงซื่อมารดาของหยวนเซิ่นนั่นเอง นางมองเฉิงเซ่าซางซ้ำหลายหนเมื่อได้ยินบ่าวแจ้งนามของเด็กสาว
ชวีหลิงจวินนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายเหลียงซื่อ เปรียบกับวานซืนดูเหมือนซูบผอมลง แลอิดโรยยิ่งยวด ร่างสะโอดสะองนั้นคล้ายคงเหลือแต่โครงกระดูก โย่วถงสาวใช้คนสนิทของนางยังคงนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง
ถัดลงไปเบื้องล่างเป็นสตรีวัยกลางคนค่อนไปทางสูงวัยที่มีสีหน้าดุร้ายผู้หนึ่ง กำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันถลึงตาจ้องเหลียงซื่อกับชวีหลิงจวิน หากมิใช่บนร่างถูกหญิงรับใช้อาวุโสแรงดีสองคนกดไว้อย่างแน่นหนา นางคงกระโจนไปตบตีชวีหลิงจวินแต่แรกแล้ว
เหลียงเอ่าถูกกดร่างจนไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่เค้นคำพูดออกจากไรฟัน “ข้าเป็นแม่เล็กของเจ้านะ! เจ้าถึงกับกล้าไร้มารยาทกับข้า?!”
เหลียงซื่อกล่าว “เมื่อแรกข้าก็ไม่เห็นพ้องที่ท่านพ่อจะแต่งกับเจ้า ชาติตระกูลต่ำต้อยเป็นเพียงเรื่องเล็ก ทว่าเจ้าใจคอคับแคบ คิดอ่านตื้นเขิน เห็นแก่ตัวยิ่ง ไม่เคยรู้จักว่าอันใดคือคำนึงถึงส่วนรวม รู้จักแต่ผลประโยชน์เบื้องหน้าสายตาตนเอง บัดนี้เจ้าทำดีนัก ดึงรัชทายาทลงน้ำมาด้วย ชีวิตกับอนาคตของคนทั้งตระกูลเจ้าล้วนไม่ไยดีแล้ว ผู้อาวุโสท่านใดในตระกูลยังจะมาหนุนหลังเจ้า เลิกฝันเสียเถิด”
เหลียงเอ่าเอ่ยเสียงคั่งแค้น “หรือจะให้เบิกตามองลูกข้าตายอย่างอนาถ แต่นางแพศยานี่กลับรอดตัวลอยนวล?!” สายตาที่นางมองไปทางชวีหลิงจวินราวจะกลืนกินอีกฝ่ายเป็นๆ
“คดียังไม่ชัดแจ้ง ไม่อาจผลีผลามกระทำการ”
“ผายลม! พวกเจ้าแต่ละคนล้วนถือดีว่ามีชาติกำเนิดสูงส่ง ดูแคลนพวกข้าแม่ลูกมาโดยตลอด ทั้งที่ไม่ว่าอย่างไรอาซั่งก็เป็นถึงว่าที่ผู้นำสกุลเหลียง ข้าเองก็เป็นถึงฮูหยินม่ายของบิดาเจ้า…”
“ดังนั้นข้าจึงได้พูดว่าท่านพ่อไม่ควรแต่งเจ้าเข้ามา บนโลกใบนี้มีสกุลเหลียงอยู่ก่อน ค่อยมีเหลียงซั่ง ลำพังฝีมือของเหลียงซั่ง หากไม่มีสกุลเหลียง เขาจะมีค่าสักกี่เฉียนกัน อีกอย่างข้าจะเผยเรื่องภายในให้เจ้าฟังเรื่องหนึ่ง หนนี้ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นเช่นไร ตำแหน่งฮูหยินม่ายของเจ้าล้วนถึงปลายทางแล้ว เจ้าจะถูกคุมตัว ‘พักฟื้นให้ดีๆ’ ”
สีหน้าของเหลียงซื่อเฉยเมย สั่งลงโทษเหลียงเอ่าราวกับแค่เขี่ยจิ้งหรีดตัวหนึ่งเข้าโถกระเบื้องเท่านั้น ครั้นเอ่ยคำนี้จบนางก็ให้บ่าวอุดปากเหลียงเอ่า ไม่คิดจะเหลือบแลสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงของอีกฝ่าย แล้วเบือนหน้าไปหาชวีหลิงจวิน