ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 108
“เดิมข้านึกว่าเจ้าเป็นคนฉลาด การแต่งงานที่ดีหนหนึ่งกลับทำจนกลายเป็นเยี่ยงนี้ เหลียงซั่งตบตีเจ้า ปากเจ้าไม่อาจพูด ร่างไม่อาจขยับหรือไร บิดากับพี่ชายเจ้าก็มิใช่ผู้ที่จะไม่ไยดีความเป็นความตายของเจ้าเสียหน่อย โวยวายออกมาแต่เนิ่นๆ ก็คงไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้หรอก”
ใบหน้าชวีหลิงจวินซีดขาว สีหน้าห่อเหี่ยว “แรกเริ่มข้าต้องการจะหย่าร้าง แต่เหลียงซั่งข่มขู่จะไปป่าวร้องข้างนอกว่าข้าลักลอบติดต่อมีสัมพันธ์กับรัชทายาท ตอนนั้นข้าอายุน้อย ถูกสยบขวัญไปชั่วเวลาหนึ่ง หลังจากมีบุตร ข้ามองออกว่าเหลียงซั่งเพียงแสร้งวางโตข่มขู่ไปอย่างนั้นเอง จึงคิดจะหย่าร้างอีกครา เขากลับพูดอย่างอำมหิตชั่วช้า บอกว่าต่อให้ข้าไปได้ ลูกๆ ก็ต้องรั้งอยู่ เด็กเล็กๆ ไม่รู้จะมีชีวิตรอดได้สักกี่วัน…ข้าจึงลังเลขึ้นมาอีก
ไม่เพียงเท่านี้ ในอดีตเหลียงกับชวีสองสกุลเป็นดั่งน้ำกับไฟ ไม่ง่ายเลยกว่าจะคืนดีกันได้ แล้วข้าผู้เดียวจะเป็นเหตุให้ทำลายส่วนรวมได้อย่างไรกัน แต่ว่าควรจะทำเช่นไรเล่า ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นข้าจึงลอบคัดเลือกองครักษ์หญิงฝีมือดีไว้หลายคน ให้พวกนางคอยอยู่ข้างกาย เหลียงซั่งจึงไม่ค่อยกล้าลงมือกับข้าอีก ความจริงมีเพียงช่วงไม่กี่ปีแรกที่ข้าขื่นขมไร้ที่ระบายอย่างแท้จริง ช่วงต่อๆ มาเขาตีข้ากี่ครั้ง ข้าเป็นต้องให้องครักษ์หญิงตีกลับไป ไม่เชื่อให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพดูได้ บนร่างเหลียงซั่งก็มีแผลเช่นกัน
เดิมหลายปีมานี้เขาเพลาลงไปมาก ใครจะรู้หลังมาถึงเมืองหลวง นิสัยเก่าเขากลับกำเริบ ทว่าข้าในปัจจุบันมีหรือยังจะทนยอมเขาอีก หลายวันก่อนข้าได้เปิดโปงเรื่องนี้ต่อใต้เท้าผู้ว่าการจนสิ้นแล้ว แม้เขาลำบากใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงรับปากข้าว่าหากข้าหย่าร้างกับเหลียงซั่งแล้ว เขาจะนำเด็กทั้งสองไป ขอให้อาสะใภ้ที่จิตใจดีมีคุณธรรมในตระกูลเลี้ยงดู ดังนั้น…ข้าไยต้องสังหารเหลียงซั่งด้วย ในเมื่อข้ามีแผนปลีกตัวแต่แรกแล้ว!”
เอ่ยมาถึงประโยคสุดท้าย ชวีหลิงจวินสะเทือนใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
เฉิงเซ่าซางลอบถอนใจ มิน่าเล่าจึงกล่าวกันว่า ‘ขุนนางเที่ยงธรรมยากตัดสินเรื่องในครอบครัว’* วานซืนตอนที่รู้ว่าชวีหลิงจวินถูกทำทารุณมานานปี ความจริงในใจเฉิงเซ่าซางดูแคลนอยู่บ้าง รู้สึกว่ามีแต่สตรีที่อ่อนปวกเปียกไม่เอาไหนเท่านั้นจึงจะทนรับเรื่องบ้าบอพรรค์นี้ได้ ชวีหลิงจวินผู้นี้ก็แค่นี้เอง ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ทุกครอบครัวล้วนมีความยากลำบากของตนจริงๆ เสียด้วย
เหลียงซื่อเงียบงันไปเนิ่นนานเช่นกัน ก่อนจะหันมากล่าวกับเฉิงเซ่าซาง “ในเมื่อเจ้ารับบัญชาจากตำหนักฉางชิว อยากจะถามสิ่งใดก็ถามเถิด”
เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะรับ นั่งตัวตรงรวบรวมสมาธิแล้วเริ่มสอบถาม
“ช่วงใกล้เที่ยง ผู้ไปส่งอาหารที่เรือนตำราเป็นใครกันแน่”
“เป็นโย่วถง นางสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ของข้าไป ข้าไม่อยากให้คนในจวนรู้ว่าข้าออกไปข้างนอกแล้ว”
“ทว่าเมื่อคุณชายเหลียงเห็นโย่วถง จะจำแนกไม่ออกหรือเจ้าคะ”
“เขารู้ก็รู้ไปสิ ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็ฉีกหน้ากันแล้ว บางเรื่องต่างรู้แก่ใจดี เพียงไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น” ชวีหลิงจวินตอบ
“ดังนั้นชั้นวางหนังสือก็เป็นคุณชายเหลียงผลักล้มลงจริงๆ น่ะสิ”
“เฮ้อ พอเขาเห็นโย่วถงมาก็รู้ทันทีว่าข้าออกไปข้างนอก จึงระบายอารมณ์ผลักชั้นวางหนังสือจนล้ม เพียงแต่ตอนนั้นเขาหมกมุ่นกับงานแกะสลัก ไม่อยากหยุดมือกลางคัน จึงเพียงลั่นวาจาว่ารอข้ากลับมาก่อนค่อยคิดบัญชีให้เต็มที่”
เฉิงเซ่าซางส่ายหัว ถอนใจโดยไร้เสียง…คดีนี้แสนซับซ้อนพิสดารโดยแท้ จุดน่าสงสัยที่วานซืนวิเคราะห์ออกมาถึงกับกลายเป็นข้อเท็จจริงเสียอย่างนั้น
“ยังมีหีบตำราใบนั้น ฮูหยินยืนยันได้หรือไม่ว่าข้างในเป็นสิ่งใดกันแน่”
“ข้าเข้าใจความหมายของแม่นางเฉิง เหลียงซั่งผู้นี้ไร้คุณธรรมความสามารถ สิ่งเดียวที่ลุ่มหลงมีแต่การแกะสลักหินและโลหะ ตำราเหล่านั้นข้าเตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ที่ตลอดมาเก็บไว้ไม่มอบออกไปเพราะคิดว่ายามคับขันจะไว้ใช้ต้านโทสะของเหลียงซั่ง สามวันก่อนตอนที่จะหาบหีบเข้าไปในเรือนตำรา ข้าแน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ข้างในล้วนเป็นตำราจริงแท้แน่นอน มิใช่ถูกใครสับเปลี่ยนเป็นศพเด็ดขาด”
“เหตุใดฮูหยินแน่ใจเช่นนี้เล่า” เฉิงเซ่าซางรู้สึกประหลาดใจ
ใบหน้าชวีหลิงจวินผุดรอยละอาย ตั้งสติก่อนตอบอย่างหนักแน่น “วันนั้นข้าออกจากคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงกลับเข้าเมือง ระหว่างทางเจอผู้เฒ่าผู้หนึ่งนำตำราโบราณมาผึ่งขาย จึงซื้อติดมือกลับมาหนึ่งม้วน หลังกลับถึงบ้านข้าให้บ่าวชายหาบหีบตำราในเรือนข้าออกมา ขณะเดินไปตามทางสายเล็กริมทะเลสาบที่ทอดสู่เรือนตำรา ข้าเปิดหีบออกแล้วนำตำราม้วนสุดท้ายที่เพิ่งซื้อใส่เข้าไปด้วยตนเอง ถัดจากนั้นบ่าวชายก็หาบหีบอยู่ข้างกายข้าโดยตลอด ไม่เคยห่างจากข้า เหตุใดใต้ผ้าชุบน้ำมันที่ก้นหีบจึงมีคราบเลือดนั้น ข้าไม่อาจรู้ได้จริงๆ”
เฉิงเซ่าซางมุ่นคิ้วครุ่นคิด ในเมื่อหีบตำราใบนั้นวางอยู่ในเรือนของชวีหลิงจวินมาช้านาน คาดว่าคงมีคนฉวยโอกาสเล่นตุกติกกับใต้ผ้าชุบน้ำมัน ชวีหลิงจวินกับสาวใช้ไม่เคยสังเกตเห็นก็เป็นธรรมดา
นางพลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง จึงถามด้วยความแปลกใจ “แต่ที่เรือนตำราวันนั้น ข้าเห็นในหีบมีตำราอยู่แค่สองสามม้วนเองนี่เจ้าคะ”
สีหน้าชวีหลิงจวินเผยความเจ็บปวดรางๆ เอ่ยเสียงแหบแผ่ว “ข้ากับเหลียงซั่งได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยา แท้ที่จริงกลับเทียบไม่ได้กระทั่งสหายที่คบหาผิวเผิน วันนั้นหลังจากเข้าไปในเรือนตำรา ข้าไม่อยากจะยุ่งกับเขา เพียงเอ่ยทักเล็กน้อย เห็นเขาไม่ไยดีก็นึกว่าเขากำลังโกรธ ข้าคร้านจะแยแสเขาจึงเปิดหีบออกเอง แล้วนำหนังสือไม้ไผ่แต่ละกระบอกไปวางบนชั้นวางที่อยู่ด้านนอกสุด วางไปจนเกือบหมดแล้ว พบว่าตลอดมาไม่มีเสียงตอบสนองใดๆ ข้าค่อยนึกแปลกใจขึ้นมา รอจนเดินอ้อมชั้นวางหนังสือกับฉากบังลมไป ถึงค่อยเห็นเขานั่งพิงผนังทิศตะวันตก บนร่างมีมีดสั้นปักคาอยู่เล่มหนึ่ง ข้าตกใจจนทรุดลงกับพื้น ร้องเรียกคนมา”
เฉิงเซ่าซางอับจนถ้อยคำ นี่มันความบังเอิญอะไรกัน