ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 108
ฝ่ายหลิงปู้อี๋ยามนี้กำลังจับเข่าสนทนาลับกับเหลียงอู๋จี้ที่ห้องชั้นในอันเงียบเชียบแห่งหนึ่ง
“ใต้เท้าผู้ว่าการตรองดูให้ดี ข้าไม่รีบร้อน”
“ในเมื่อไม่รีบร้อน เหตุใดเจ้าจึงมาบีบคั้นข้า” เหลียงอู๋จี้เอ่ยเสียงเย็น
“ใต้เท้าเหลียง ท่านนึกว่าตอนนี้ผู้ที่ร้อนรุ่มคือรัชทายาทหรือ มิใช่เลย ตอนนี้ผู้ที่ควรร้อนรุ่มที่สุดน่าจะเป็นตัวท่าน รวมถึงตำแหน่งแห่งที่ของสกุลเหลียงทั้งตระกูลในพระทัยฝ่าบาทต่างหาก”
เหลียงอู๋จี้นั่งก้มหน้า ยันฝ่ามือทรงกาย เงียบงันไม่เอ่ยคำ
หลิงปู้อี๋นั่งเป็นสง่าอยู่หน้าโต๊ะ สุ้มเสียงชัดกังวาน “คดีคนตายนี้ดูคล้ายซับซ้อนซ่อนเงื่อน เรือนตำรากับห้องที่ปิดสนิทเอย เสื้อคลุมขนสัตว์กับหีบตำราเอย ยังมีจักจั่นหยกกับดอกกุ้ยม่วงนั่นอีก…เหล่านี้รวมเข้าด้วยกันแล้ว มีข้อสรุปได้เพียงหนึ่งเดียว ก็คือชวีซื่อลอบมีสัมพันธ์กับรัชทายาท สังหารเหลียงซั่งแล้วยังหมายจะพ้นผิด…ซึ่งนี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่คนในมุมมืดปรารถนาจะให้เป็นเช่นกัน”
เหลียงอู๋จี้ปวดศีรษะ “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า นับแต่ชวีซื่อออกเรือนก็อยู่ที่เหอตงโดยตลอด ไม่เคยย่างเท้าเข้าเมืองหลวงเลย อีกอย่าง…”
“มิผิด ท่านรู้ว่าชวีซื่อไม่มีทางฆ่าเหลียงซั่ง เพราะนางมีวิธีปลีกตัวจากเขาแล้ว ข้าเองก็รู้ว่ารัชทายาทไม่มีทางฆ่าเหลียงซั่ง เพราะรัชทายาทไม่ได้พบชวีซื่อมาสิบปีแล้ว…ทว่าคนนอกไม่รู้นี่” หลิงปู้อี๋แย้ง
เหลียงอู๋จี้ทรุดลงอย่างห่อเหี่ยว
หลิงปู้อี๋กล่าว “คำคนนั้นน่ากลัว รอคำลือแพร่จนรู้กันกว้างขวาง ชื่อเสียงของรัชทายาทป่นปี้ เป้าประสงค์ของคนในมุมมืดก็ลุล่วงแล้ว”
เหลียงอู๋จี้เอ่ยเยาะ “เดิมข้านึกว่าเรื่องนี้เป็นชวีซื่อทำให้รัชทายาทเดือดร้อน ตอนนี้ค่อยรู้ว่าเป็นรัชทายาทต่างหากที่ทำให้สกุลเหลียงพลอยฟ้าพลอยฝน คนในมุมมืดเปลืองแรงทำเรื่องยุ่งยาก มีหรือจะแค่พุ่งเป้าไปที่สตรีอ่อนแอนางเดียว ที่แท้ก็ชี้ปลายกระบี่ไปที่ตำหนักบูรพา! สกุลเหลียงต้องประสบกับเรื่องน่าเศร้าในครอบครัวโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ตอนนี้จื่อเซิ่ง เจ้ายังจะมาบีบคั้นข้าอีกหรือ”
“สกุลเหลียงมิใช่ไร้ความผิดเสียทั้งหมดกระมัง” หลิงปู้อี๋ท้วงเรียบๆ “หรือว่าเหลียงซั่งมิได้แซ่เหลียง?”
เหลียงอู๋จี้ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
หลิงปู้อี๋เอ่ยเสริม “หากเหลียงซั่งประพฤติชอบ เป็นสามีภรรยากับชวีซื่ออย่างดี รักใคร่ให้เกียรติกัน แน่นแฟ้นไร้ช่องว่าง แผนร้ายนี้ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้ ทว่าเขากลับทำตนเยี่ยงเดรัจฉาน! ตั้งแต่เมื่อก่อนก็มีคนไม่น้อยรู้ว่าพวกเขาสามีภรรยาไม่ปรองดอง บัดนี้เรื่องแดงออกมา ยิ่งได้รู้ว่าชวีซื่อทนทุกข์จากการกระทำอันต่ำช้าของเหลียงซั่ง การปรักปรำให้ร้ายนี้ก็ยิ่งหนักแน่น”
เหลียงอู๋จี้โมโห จึงเอ่ยเสียงหนัก “ที่แท้ล้วนเป็นความผิดของสกุลเหลียงสินะ! ใต้เท้าหลิงช่างคารมดีแท้”
“สะใภ้ของสกุลเหลียง บุตรหลานของสกุลเหลียง จวนของสกุลเหลียง เรือนตำรากับศิษย์ในสำนักศึกษาของสกุลเหลียง…หากมิใช่เรื่องของสกุลเหลียง หรือว่ายังเป็นเรื่องของข้า?”
เหลียงอู๋จี้ถูกยั่วโทสะจนแทบหงายหลัง
หลิงปู้อี๋กล่าวต่อ “ใต้เท้าผู้ว่าการมิต้องโกรธข้า เมื่อครู่ข้ายังพูดตกไปหนึ่งประโยค มิเพียงแต่ข้าที่รู้ว่ารัชทายาทไม่มีทางฆ่าเหลียงซั่ง ฝ่าบาทเองก็ทรงรู้ดีว่ารัชทายาทจะไม่ทำแน่ แม้รัชทายาทกระทำการไม่รอบคอบ แต่หากเพราะสกุลเหลียงเป็นเหตุที่ส่งผลให้รัชทายาทตกอยู่ท่ามกลางน้ำครำซึ่งสาดมามืดฟ้ามัวดินนี้ ใต้เท้าผู้ว่าการเห็นว่าฝ่าบาทจะทรงคิดเช่นไรเล่า”
เหลียงอู๋จี้ผวาวูบ โทสะสลายสิ้น ความพรั่นพรึงทะลักล้นขึ้นมาแทนที่ จึงขอความเห็นอย่างจริงใจ “ขอถามจื่อเซิ่ง เช่นนั้นสกุลเหลียงควรคลี่คลายเรื่องนี้อย่างไรดี”
หลิงปู้อี๋กำลังจะเอ่ยตอบ เบื้องนอกก็พลันแว่วเสียงองครักษ์ของเขาขอเข้าพบ ครั้นได้รับอนุญาตเข้ามาแล้ว องครักษ์ก็เอ่ยเสียงเบาหลายประโยคข้างหูผู้เป็นนาย หลิงปู้อี๋ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีนิดๆ
เหลียงอู๋จี้สงสัยใคร่จะรู้อยู่บ้าง เมื่อครู่คุณชายสูงศักดิ์รูปงามที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ยังมีท่วงทีเย็นใจสบายอารมณ์ ยามตอบโต้กับตนเจนจัดช่ำชอง ไม่เผยแววขลาดกลัวสักส่วนเสี้ยว ยามนี้ไม่รู้เกิดเรื่องใดขึ้น จึงทำให้อีกฝ่ายมีท่าทางเยี่ยงนี้ได้
หลิงปู้อี๋มุ่นคิ้ว ก่อนจะพลันคลี่ยิ้มให้เหลียงอู๋จี้ “ผู้ว่าการเหลียง ท่านกับข้าสนทนากันที่นี่ได้เต็มที่ไม่เป็นปัญหา ทว่าเครือญาติสกุลเหลียงยังถกเถียงกันอยู่ด้านนอก ตามความเห็นของผู้เยาว์แล้ว ยังคงควบคุมสักหน่อยจะดีกว่า หาไม่เกิดเล็ดลอดออกไปนอกจวน จะไม่เท่ากับราดน้ำมันบนกองไฟหรือ”
เหลียงอู๋จี้อึ้งงัน ไม่ค่อยเข้าใจว่าญาติของตนทะเลาะกันอยู่ในจวนตนเอง จะมีอันใดเกี่ยวข้องไปถึงรัชทายาทได้ กระนั้นด้วยไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายเพิ่ม เขาจึงตอบรับข้อเสนอแนะของอีกฝ่าย “จื่อเซิ่งกล่าวถูกต้อง ข้าจะส่งคนไปบอกให้พวกเขาอย่าวู่วาม…”
“ผู้ว่าการมิต้องวุ่นวายใจ” หลิงปู้อี๋กล่าว “ยามนี้คนสกุลเหลียงทั้งวิตกว่าเกียรติภูมิของวงศ์ตระกูลจะย่อยยับในคราวเดียว ทั้งวิตกว่าจะพัวพันไปถึงรัชทายาท มีหรือจะเกลี้ยกล่อมได้โดยง่าย ส่งคนธรรมดาไปย่อมเปล่าประโยชน์ มิสู้ท่านส่งคุณชายหยวนเซิ่นไปดีกว่า ข้าเห็นว่าเขาดียิ่ง คุณชายหยวนเป็นคนสกุลเหลียงครึ่งตัว ทั้งยังรอบรู้กว้างขวาง ชื่อเสียงสูงส่ง วาทศิลป์เป็นเลิศ จะต้องสงบอารมณ์เครือญาติสกุลเหลียงได้แน่”
ผู้ว่าการเหลียงอู๋จี้แม้มากประสบการณ์ชีวิต ทว่ายามนี้ก็ยังคงงุนงงอยู่บ้าง “ขอบใจจื่อเซิ่งยิ่งนักที่ห่วงใยสกุลเหลียงเช่นนี้”
หลิงปู้อี๋ตอบอย่างมีมารยาทยิ่งยวด “มิต้องเกรงใจขอรับ”
* จื่อกุย คือชื่ออำเภอหนึ่งในมณฑลหูเป่ย เป็นบ้านเกิดของชวีหยวน (กวีรักชาติผู้เป็นที่มาของเทศกาลไหว้ขนมจ้าง) และหวังเจาจวิน (หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามของจีนโบราณ) โดยอำเภอ ‘จื่อกุย 秭归’ นี้ออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่า ‘จื่อกุ้ย 紫桂’ ที่แปลว่าดอกกุ้ยม่วง
* อักษรหุย 回
* ‘ขุนนางเที่ยงธรรมยากตัดสินเรื่องในครอบครัว’ หมายถึงเรื่องในครอบครัวนั้นสลับซับซ้อน แม้แต่ขุนนางผู้สุจริตเที่ยงธรรมก็ยังยากจะตัดสินชี้ขาดถูกผิดได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.