ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 109
บทที่ 109
ขณะนี้เฉิงเซ่าซางกำลังตรวจดูสถานที่เกิดเหตุกับหยวนเซิ่น นางมองดูผนังฝั่งที่เหลียงซั่งนั่งพิงถึงแก่ชีวิตนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ในเมื่อถูกมีดสั้นหนึ่งเล่มเสียบตรงท้อง ไฉนบนผนังนี้ไม่มีคราบเลือดสักเท่าไรเลย ได้ยินว่าบนศพเปรอะเลือดไม่น้อยนี่นา” เหตุใดบนผนังจึงไม่เกิดรอยเลือดแบบฉีดกระจายเล่า
หยวนเซิ่นกล่าว “ข้าเคยไปดูศพแล้ว อาวุธที่ใช้คือมีดสั้นๆ เล่มหนึ่ง เพียงเสียบเข้าที่ท้อง ไม่ทะลุร่างออกไปแต่อย่างใด ดังนั้นด้านหลังของน้าใหญ่จึงไม่มีเลือดไหลออกมา”
เฉิงเซ่าซางร้องฮึหนึ่งที “ฟังคล้ายการกระทำของบุรุษกำยำมีพลังผู้หนึ่ง”
“เป็นสตรีที่ใช้แรงเหมาะเจาะก็ได้เช่นกัน” หยวนเซิ่นค้าน
เฉิงเซ่าซางเหลือกตาใส่เขาก่อนถามต่อ “นอกจากแผลมีดที่คร่าชีวิต บนร่างน้าใหญ่ของท่านยังมีรอยแผลอื่นหรือไม่”
หยวนเซิ่นขมวดคิ้ว “ไม่เอ่ยถึงแผลเก่า บนข้อมือแต่ละข้างของน้าใหญ่มีรอยข่วนใหม่ๆ หลายรอย ทว่าเช้าวันเกิดเหตุน้าใหญ่เพิ่งมีปากเสียงกับน้าสะใภ้ใหญ่ ตอนที่เขาหมายจะใช้กำลังกับนาง องครักษ์หญิงสองคนยึดกุมสองมือเขาไว้…ดังนั้นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพจึงไม่อาจชี้ขาดได้ว่าฆาตกรเคยยึดกุมข้อมือของน้าใหญ่หรือไม่”
เฉิงเซ่าซางถามอย่างระมัดระวัง “คือว่า…เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมีผ่าท้องน้าใหญ่ของท่านออกดูหรือไม่…”
หยวนเซิ่นไม่พอใจ สะบัดแขนเสื้อกล่าว “ไยเซ่าซางจวินถามเยี่ยงนี้ แต่ไรมาล้วนยึดถือผู้ตายเป็นใหญ่ เชิญเจ้าหน้าที่มาตรวจดูศพก็เป็นการกระทำอันจำใจแล้ว นี่ยังจะให้ผ่าท้องอีก? ไม่เท่ากับมองข้ามศีลธรรมกับความรู้สึกของญาติหรือ ถึงอย่างไรน้าใหญ่ก็เป็นบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของท่านตา หากศพของเขาไม่สมบูรณ์ สกุลเหลียงย่อมอัปยศทั้งตระกูล!”
เฉิงเซ่าซางรีบยกมือขอให้ละเว้น “ได้ๆๆ ถือว่าข้าพูดผิดไป ไม่ผ่าก็ไม่ผ่าสิ! ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าวันนั้นน้าใหญ่ของท่านกินสิ่งใดบ้างกันแน่” เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพยุคนี้คงจะดูแค่ช่วงเวลาการตายเท่านั้น
หยวนเซิ่นเลิกขุ่นเคือง เอ่ยอย่างคล้ายฉุกคิดอันใดได้ “…ดูเหมือนแต่แรกเริ่มเจ้าก็คิดว่าคนที่ฆ่าน้าใหญ่เป็นผู้อื่น น้าสะใภ้ใหญ่กับโย่วถงเป็นผู้บริสุทธิ์”
“มิผิด” เฉิงเซ่าซางพยักหน้ารับ “วานซืนตอนข้ามาที่นี่ก็คิดเช่นนี้แล้ว”
“นี่เพราะเหตุใด” หยวนเซิ่นกังขา
“ข้อแรก…เพราะน้าใหญ่ของท่านถูกแทงจากด้านหน้า ต่อให้ด้านหลังไม่มีเลือดออก แต่ด้านหน้าน่ะ ถ้าปากแผลใหญ่เพียงนั้น ผู้ที่ลงมีดจะไม่มีรอยเลือดเปรอะแม้สักหยดได้อย่างไร ทว่าเสื้อผ้ารวมถึงเสื้อคลุมขนสัตว์ที่โย่วถงสวมในวันนั้นล้วนไม่มีคราบเลือดสักนิดเดียว ข้าเคยให้คนไปสอบบ่าวที่เหลือแล้ว พบว่าโย่วถงไม่มีพฤติกรรมปกปิดหรือทิ้งทำลายเสื้อเปื้อนเลือดเลย”
หยวนเซิ่นยิ้มกล่าว “เซ่าซางจวินมีความเห็นสูงส่งโดยแท้ เอาเถิด เช่นนั้นข้อสองเล่า”
เฉิงเซ่าซางตอบ “ข้อสองน่ะหรือ เพราะใต้เท้าหลิงบอกข้าว่าเขาพอจะรู้จักชวีฮูหยินกับสกุลชวีไม่มากก็น้อย คดีฆ่าคนตายนี้น่าจะไม่ใช่การกระทำของฝ่ายชวีฮูหยิน เขาฉลาดกว่าข้า เชื่อเขาย่อมจะไม่ผิด”
หยวนเซิ่นฉุนกึก เดินห่างไปทันใด กระทั่งหยุดยืนริมหน้าต่างค่อยหมุนตัวมาเอ่ยประชด “ในเมื่อเขาถูกต้องทุกอย่าง เจ้ายังจะมาที่นี่ทำอันใด เป็นเด็กดีอยู่บ้านรอเขาปิดคดีก็พอ!”
เฉิงเซ่าซางไม่นึกโกรธ ยังคงตอบอย่างยิ้มแย้ม “เพราะข้ากับเขาคิดไม่เหมือนกันน่ะสิ ข้าเห็นว่าควรสืบหาเบาะแสจับกุมคนร้ายตัวจริง คืนความบริสุทธิ์ให้รัชทายาทกับชวีฮูหยิน”
“แต่หลิงปู้อี๋กลับไม่คิดเช่นนี้” ดวงตาหยวนเซิ่นแฝงรอยยั่วเย้า
“มิเพียงแต่เขาที่ไม่คิดเช่นนี้ เกรงว่าคุณชายหยวนเองก็ไม่คิดเช่นนี้เหมือนกัน…ที่พวกท่านคิดคือจะสยบเหตุวุ่นวายนี้อย่างไรให้สมบูรณ์” เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างเยือกเย็น “หาไม่ด้วยสติปัญญาของคุณชายหยวน คงไม่อยู่เฉยจนถึงตอนนี้หรอก”
แววตาของหยวนเซิ่นวูบไหว ชั่วครู่ให้หลังจึงยิ้มกล่าว “เซ่าซางจวิน เบื้องหลังเรื่องนี้พลิกผันสุดคาด ลึกล้ำสุดหยั่ง สืบมากไปหนึ่งส่วนไม่แคล้วพัวพันเกินควร ทว่าเดินขาดไปหนึ่งก้าวก็ง่ายที่จะกลับมามือเปล่า อันที่จริง…อาจเป็นหลิงปู้อี๋ต่างหากที่ถูกต้อง”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างไม่ติดใจแม้แต่น้อย “ใต้เท้าหลิงย่อมถูกต้องอยู่แล้ว พวกท่านล้วนถูกต้อง แต่ข้าก็ถูกต้องเช่นกัน ข้าเพียงอยากรู้ว่าเหลียงซั่งตายอย่างไรกันแน่…ทุกคนต่างทำในส่วนของตนเองไปก็พอ”
หยวนเซิ่นเอียงศีรษะตรึกตรอง ก่อนตอบปนยิ้ม “ก็ถูกของเจ้า เพียงแต่…พักนี้เซ่าซางจวินอารมณ์เย็นขึ้นไม่น้อยทีเดียว หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ไม่พ้นสามประโยคจะต้องทะเลาะกับข้าแล้ว”
เฉิงเซ่าซางขบคิดเล็กน้อย “อืม คงเพราะข้าพบเจอบุรุษที่ดีกับข้ามากแสนมากกระมัง”
สีหน้าหยวนเซิ่นเย็นเฉียบทันใด
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะออกเรือนกับบุรุษเช่นใต้เท้าหลิง ช่วงเวลาที่พวกเราสองคนทะเลาะกันยังมากกว่าช่วงเวลาที่ดีกันเสียอีก” เฉิงเซ่าซางมองไปทางผนังทิศเหนือ นอกหน้าต่างกลมเล็กสามบานที่เรียงตัวเป็นรูปอักษร ‘ผิ่น’ นั้น แลเห็นน้ำทะเลสาบใสเย็น ระลอกแสงทอดไกล “แต่ตอนนี้มาคิดดูแล้ว คล้ายว่ามาเยือนโลกใบนี้หนึ่งเที่ยว หากข้าไม่ได้พานพบเขา ก็คงเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
ดังนั้นคุณชายหยวน…ข้ากับใต้เท้าหลิงยังจะทะเลาะกันอีก มิใช่เพราะท่าน ก็เป็นเพราะเรื่องอื่นสักเรื่อง แต่เกรงว่าพวกเราคงจะไม่แยกทางกันด้วยเหตุนี้หรอก…ท่านยังคงไปดูตัวให้ดีๆ เถิด”
ในปากหยวนเซิ่นขมเฝื่อน “แล้วเจ้ายังให้ข้ามาเป็นเพื่อนเจ้าถึงที่นี่?”
“เพราะข้าไม่เคยเห็นศพน้าใหญ่ของท่าน ย่อมต้องหาใครสักคนมาสอบถามน่ะสิ อีกอย่าง…ท่านจะรั้งอยู่ที่นี่อีกไม่นานแล้ว”
“อันใดเรียกว่า ‘รั้งอยู่ไม่นาน’?” หยวนเซิ่นฉงน