ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 109
เฉิงเซ่าซางหมุนตัวกลับมา คลี่ยิ้มจนตาหยี “ท่านรออีกประเดี๋ยว ข้าคะเนว่าใกล้เวลาแล้วล่ะ นั่นอย่างไร มาแล้ว”
บ่าวสูงวัยที่ดูท่าทางเป็นพ่อบ้านจวนสกุลเหลียงรีบรุดเข้ามาในเรือน คารวะหนุ่มสาวทั้งสองก่อนเอ่ย “คุณชายหยวน ใต้เท้าผู้เฒ่าหลายท่านอยู่ด้านหน้ามีปากเสียงกันรุนแรง ใต้เท้าผู้ว่าการจึงให้เชิญท่านไปห้ามทัพขอรับ”
หยวนเซิ่นมองดูเฉิงเซ่าซาง เห็นนางส่งยิ้มให้ด้วยสีหน้าเช่นผู้บริสุทธิ์ เขาขึงตาอยู่เป็นนาน คิดแล้วรู้สึกว่าตนเองชวนระอา จึงส่ายหน้าเหยียดแขนเสื้อยาว เดินตามบ่าวสูงวัยผู้นั้นออกไป
เหลียงชิวเฟยที่เดินตามพ่อบ้านจวนสกุลเหลียงเข้ามามีรอยยิ้มแต้มคิ้วตา เอ่ยอย่างกระตือรือร้นยิ่งยวด “นายหญิงน้อย ท่านต้องการผู้ช่วยเช่นไรสั่งข้าน้อยมาได้เต็มที่เลยขอรับ! คนแซ่หยวนพึ่งไม่ได้จริงๆ เสียด้วย เมื่อครู่ท่านไม่ควรเชิญเขามาสืบคดีด้วยกันเลย!”
“เจ้าพอได้แล้วกระมัง! ไม่ใช่เพราะนายน้อยของเจ้าหรือ!” เฉิงเซ่าซางโต้กลับ “ข้าอยากไปดูศพของเหลียงซั่งตั้งแต่วานซืนแล้ว แต่นายน้อยของเจ้าบอกว่าตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่หนึ่งเฮือก ข้าจงเลิกหวังที่จะไป! ช่างน่าขันเสียไม่มี ข้าเห็นศพมาน้อยหรือไรกัน!”
เหลียงชิวเฟยรีบแก้ต่าง “มิอาจกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ เห็นศพเป็นพืดในสนามรบกับลูบคลำศพศพหนึ่งอย่างถี่ถ้วน นั่นมันคนละเรื่องกันเลยนะขอรับ!”
“ข้าไม่ได้จะลูบคลำศพนั้นกับมือข้าเองเสียหน่อย แค่ให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเป็นผู้ตรวจสอบ ส่วนข้าเพียงมองดูเท่านั้น!”
“ตอนตรวจศพจะต้องเปลื้องผ้าผ่อนทั้งร่าง เหลียงซั่งเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ให้…ให้…ให้ท่านชมดูสิ่งนั้น อย่าว่าแต่นายน้อยเลย ข้าน้อยเองก็ขอยอมตาบอดให้รู้แล้วรู้รอดไป!”
“พูดเหลวไหลให้น้อยๆ หน่อย! หากวานซืนข้าได้ตรวจศพ คงพบจักจั่นหยกในปากเหลียงซั่งชิ้นนั้นแต่แรก เป็นเพราะพวกเจ้าเหล่าบุรุษที่คร่ำครึนี่เอง ถึงหวิดจะทำให้เสียการใหญ่! เจ้าจงออกไปให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้ ข้าคนเดียวก็เพียงพอ!”
เสียงโต้แย้งภายในเรือนตำราแว่วออกมา หยวนเซิ่นที่อยู่ด้านนอกชะงักฝีเท้าเหลียวกลับไป ราวได้ยินเสียงอันไพเราะของเด็กสาว
พ่อบ้านจวนสกุลเหลียงผู้นั้นหันกลับไปมองแล้วยิ้มกล่าว “แม่นางน้อยสกุลเฉิงผู้นี้โฉมงามหลักแหลมนะขอรับ”
หยวนเซิ่นขานดังอืมเบาๆ หนึ่งที ก่อนออกเดินอีกครา
นับแต่วัยแรกรุ่น เขาเคยคิดคำนวณอย่างละเอียดเกี่ยวกับตัวเลือกภรรยา ไม่ว่าจะเป็นชาติกำเนิด วงศ์ตระกูล ชื่อเสียง ยศขุนนางของบิดากับพี่ชาย ขั้วอำนาจที่เกี่ยวดองเป็นเครือญาติ ตลอดจนอุปนิสัย ความรู้ความสามารถ และรูปโฉม…เขาเคยคิดมาทั้งสิ้น แต่งภรรยาผิด ภัยลามถึงสามรุ่น ดังนั้นเขาจึงแสนจะรอบคอบมาโดยตลอด
ตอนนี้เขาอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว เรื่องแต่งงานไม่เหมาะจะประวิงต่อไป เขาจึงยึดตามความต้องการของตน คัดสรรตัวเลือกภรรยาที่ ‘เหมาะสม’ ไปตามขั้นตอน ดุจเดียวกับกำหนดแผนงานราชการ
อ่อนโยนเปิดเผย ภูมิฐานรู้เหตุผล รูปโฉมความสามารถเพียบพร้อม…เขาเฟ้นแล้วเฟ้นอีก ประวิงแล้วประวิงอีก ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจพึงพอใจเขาเสียที แรกเริ่มเขาเองก็ไม่เข้าใจสาเหตุ ตอนนี้มาคิดดูแล้ว อาจเพราะพวกนางล้วนมิใช่แบบเฉิงเซ่าซางกระมัง
แต่นั่นแล้วอย่างไร วางหมากช้าไปตัวเดียว พ่ายแพ้ทั้งกระดาน ชวีหลิงจวินมีประโยคหนึ่งกล่าวได้ถูกต้อง…ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป
สาวทอผ้านภาพราว มือเพรียวขาวขยับไหว ธารดาราแลตื้นใส สองฝั่งไกลเท่าใดกัน*
สองฝั่งไกลเท่าใดกัน…สองฝั่งไกลเท่าใดกัน…
ถึงที่สุดชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป
เฉิงเซ่าซางอยู่ในเรือนตรวจค้นอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่ง ไม่เพียงผลักขยับชั้นวางหนังสือ ลูบคลำโต๊ะต่างๆ รวมถึงทดลองปีนหน้าต่างดู ทว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใดเลย จากนั้นนางยังเดินออกจากเรือนมาลองยืนดูไกลๆ
ความจริงเรือนตำราหลังนี้มิใช่มีเพียงห้องเดียว ซ้ายขวาของห้องที่เหลียงซั่งประสบเหตุต่างมีห้องปีกอีกด้านละห้อง ทั้งสามห้องเรียงหน้ากระดานติดกัน ห้องตรงกลางนั้นสว่างกว้างใหญ่ที่สุด ห้องปีกตะวันออกก่อเตาเล็กๆ ไว้สองเตา ยามที่เจ้านายต้องการสามารถปรุงอาหารอุ่นสุราในนั้นได้ ส่วนห้องปีกตะวันตกเป็นห้องขนาดกลางใช้สำหรับเก็บของ มีของเก่าจำพวกเชือก บันได และโต๊ะวางกองอยู่ ด้านบนยังปิดคลุมด้วยผ้าหนาเนื้อหยาบ
ห้องครัวเล็กนั้นกวาดถูสะอาดสะอ้านยิ่ง ในเตามีฟืนเหลือค้างอยู่ คาดว่าเพิ่งใช้งานไปเมื่อเร็วๆ นี้ ผิดกับห้องเก็บของที่สะสมไปด้วยฝุ่นผงหนาบางไม่เท่ากัน ดูเหมือนมีเครื่องมือบางชิ้นมักถูกหยิบใช้ ผ้าเนื้อหยาบจึงมีร่องรอยของการเปิดขึ้นบ่อยครั้ง อีกทั้งบนพื้นก็มีรอยเท้าสับสนปนเป
เฉิงเซ่าซางไม่ถอดใจ ย้อนกลับไปยังห้องเกิดเหตุ นางขยับย้ายข้าวของแทบทุกชิ้นรอบหนึ่ง ดูว่าจะปรากฏทางลับอันใดหรือไม่ ทว่าล้วนคว้าน้ำเหลว นางจึงหยิบมีดสั้นฝังอัญมณีเล่มเล็กของตนออกมา ใช้ส่วนด้ามเคาะผนังไปทีละด้านเพื่อฟังว่าจุดใดมีเสียงกลวงโหวงหรือไม่ ปรากฏว่ายังคงไร้ผลลัพธ์ ผนังทั้งสี่ด้านล้วนเป็นไม้สลับอิฐตัน อาจมีหนาบางต่างกันไปบ้าง ทว่าเสียงโดยรวมของผนังแต่ละด้านล้วนเหมือนกัน
เฉิงเซ่าซางชักทดท้อใจ นางเชื่อมั่นว่าเหลียงซั่งไม่มีทางจะตายอย่างไร้ที่มาที่ไปเด็ดขาด แต่หากไม่มีบุคคลที่สามเคยเข้ามาในห้องนี้ เช่นนั้นเหลียงซั่งตายได้อย่างไรกันเล่า!
เห็นนางอ่อนล้า เหลียงชิวเฟยก็เดินยิ้มมาพูดใกล้ๆ “นายหญิงน้อยหากเหนื่อยแล้ว มิสู้ไปพักก่อนสักครู่ ตามความเห็นของข้าน้อย ท่านกลับวังไปนั่งคอยเลยก็ได้ รอข่าวดีจากนายน้อยเป็นพอ ดีกว่าเดินไปเดินมาอยู่ที่นี่รอบแล้วรอบเล่า พื้นที่แค่เท่านี้ นายหญิงน้อยยังลูบคลำไม่หนำใจอีกหรือขอรับ”
เดิมเฉิงเซ่าซางเหน็ดเหนื่อยทั้งใจกาย พอได้ยินวาจานี้นางยิ่งเสียหน้าจนหัวเสีย ผลักไสขับไล่เหลียงชิวเฟยออกไป ทั้งตวาดสั่งเขารวมถึงองครักษ์ที่เหลือให้ยืนอยู่ข้างนอก ห้ามมารบกวนนาง
หลังจากไล่ตะเพิดคนไปอย่างฉุนเฉียว หัวใจเฉิงเซ่าซางพลันกระตุกวูบ…พื้นที่แค่เท่านี้?
นางผุดความคิดบางอย่างแล้ว