เฉิงเซ่าซางเริ่มจากเดินอยู่นอกตัวเรือน จากตะวันออกไปตะวันตก ใช้ฝีก้าววัดความยาวรวมของห้องทั้งสามจากด้านนอกรอบหนึ่ง ค่อยแยกวัดความยาวด้านในของแต่ละห้อง นางเกรงว่าจะคลาดเคลื่อน จึงเดินวัดรวดเดียวซ้ำสามหน จากนั้นนำมาหาค่าเฉลี่ย ผลออกมาเป็นดังที่คิดจริงเสียด้วย…
ความยาวรวมด้านนอกของห้องทั้งสามเฉลี่ยได้เก้าสิบห้าก้าว ความยาวด้านในของห้องครัวเล็กคือสิบสามก้าว ห้องเก็บของยี่สิบสองก้าว ห้องหนังสือที่เกิดเหตุสี่สิบสี่ก้าว ในส่วนต่างสิบหกก้าวนี้ เมื่อตัดความหนาของผนังสี่ข้างออกไป ต่อให้คิดหนาๆ หน่อย อย่างน้อยก็ต้องมีความยาวห้าหกก้าวที่หายไป
พื้นที่เหล่านี้หายไปที่ใดได้เล่า
ห้องครัวเล็กไม่เพียงคับแคบ ยังมีคนเข้าออกบ่อยครั้ง ซ้ำมีน้ำไฟปะปน ดังนั้น…เฉิงเซ่าซางจึงเบนสายตาไปยังห้องเก็บของอันทึบทึม ครั้นเดินลึกเข้าไป นางพบว่าในนี้ขมุกขมัวมากจริงๆ เห็นอยู่ว่าด้านนอกแสงตะวันสดใส แต่ในนี้มีช่องหน้าต่างเล็กที่อยู่สูงบนผนังทิศใต้ช่องเดียวที่แสงพอจะลอดเข้ามาได้
นางเดินไปยังผนังทิศตะวันออก ซึ่งก็คือผนังกั้นระหว่างห้องหนังสือ จุดแท่งจุดไฟเล็กๆ แท่งหนึ่ง มองสำรวจผนังด้านนี้อย่างถี่ถ้วน ไม่ต่างจากห้องที่เหลียงซั่งประสบเหตุ บนผนังห้องนี้ก็ใช้แท่งไม้ตีเป็นตาราง ยาวช่องละประมาณหนึ่งในสามจั้ง ผนังหนึ่งด้านมีช่องตารางเช่นนี้ราวสิบกว่าช่อง นี่เป็นรูปแบบการปลูกสร้างที่สมัยก่อนนิยมอย่างยิ่ง สามารถประคองผนังไม่ให้เปลี่ยนรูปได้
เฉิงเซ่าซางก้มหน้า ชูแท่งจุดไฟสำรวจพื้นข้างผนัง เนื่องจากหลังเกิดคดี เพื่อจะหามศพของเหลียงซั่งออกไป พวกบ่าวเคยเข้ามาที่นี่หยิบฉวยเปลไม้ไผ่ไปใช้ ส่งผลให้รอยเท้าบนพื้นสับสนยุ่งเหยิง กระนั้นนางยังคงสังเกตพบว่ามีรอยเท้าสองรอยที่ค่อนข้างพิเศษ เพราะสองรอยนี้มีเพียงครึ่งค่อนเท้า ซ้ำปลายเท้ายังชี้เข้าหาผนัง และอยู่ห่างจากผนังเพียงหนึ่งช่วงก้าว
เหตุใดจึงมีรอยเท้าเยี่ยงนี้ได้เล่า ยามวิ่งเร็วหากทิ้งรอยเท้าไว้ครึ่งเท้า นั่นไม่แปลกแม้แต่น้อย ทว่าปลายเท้าชี้เข้าหาผนัง…จะเอาศีรษะพุ่งชนเข้าผนังไปหรือไร เฉิงเซ่าซางเพ่งสมาธิขบคิดชั่วครู่ก็คลี่ยิ้ม…นี่เป็นท่วงท่าขณะคนผู้หนึ่งจดจ่อออกแรงใช้สองฝ่ามือดันผนังน่ะสิ
คิดแล้วนางก็วางแท่งจุดไฟไว้ด้านข้าง หมายทดลองดูว่าตนจะดันผนังขยับได้หรือไม่ หากไม่ได้ค่อยไปเรียกเหลียงชิวเฟยจอมพูดมากนั่นแล้วกัน ภายหลังผลักดันจนสุดแรงเกิด เดิมนางคิดจะไปเรียกคนมาช่วยแล้ว ใครจะรู้ฝ่ามือพลันเลื่อนวูบ ผนังถึงกับถูกนางดันยุบตัวลงเป็นโพรง ขนาดเท่ากับสองช่องตารางพอดี
นางตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนชูแท่งจุดไฟ ย่างก้าวเล็กเข้าไปมองรอบด้านเพียงปราดเดียว นางก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว
มิน่าเล่า อยู่ในห้องหนังสือนางเคาะอย่างไรก็ไม่มีความผิดปกติ ที่แท้เพราะห้องลับนี้เป็นห้องที่แทรกอยู่ระหว่างสองห้อง เหมือนขนมโก๋สอดไส้ชิ้นหนึ่งที่ตัดขอบข้างออก ความกว้างของมันเหมือนกับอีกสามห้อง ทว่าความยาวกลับมีเพียงสามสี่ก้าว
เงาแสงของแท่งจุดไฟบิดส่าย ทั้งไม่เอนเอียงไปทางหนึ่งทางใด คาดว่าห้องลับนี้น่าจะมีช่องลมหลายจุด เสียงจากเบื้องนอกสามารถได้ยินชัดแจ้ง ทว่าเสียงจากด้านในดูเหมือนเบื้องนอกไม่อาจจะได้ยิน เพราะเมื่อครู่ตอนเข้ามาคล้ายนางเตะอะไรสักอย่างล้ม องครักษ์กับบ่าวชายด้านนอกดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจเลย
เฉิงเซ่าซางได้ยินเหลียงชิวเฟยกำลังสั่งบ่าวรับใช้เตรียมอาหารกลางวัน ทั้งให้จัดน้ำหวานรสผลไม้เพิ่มมาหนึ่งกา ดีที่สุดให้จัดเป็นรสทับทิม นางผลิยิ้ม คิดในใจว่า จอมพูดมากผู้นี้ยังนับว่าละเอียดอ่อน รู้ว่าข้าชอบกินทับทิม เพียงแต่วันอากาศหนาวเยี่ยงนี้จะไปหาทับทิมได้ที่ใดกัน
นางหันหลังไป เห็นฝั่งด้านในของประตูเล็กที่ตนเดินเข้ามาเมื่อครู่ติดตั้งมือจับที่หลอมขึ้นจากเหล็กกล้าสองอัน คาดว่าเมื่อคนในห้องลับอยากจะออกไป สามารถดึงมือจับนี้
นางชูแท่งจุดไฟพลางเดินไปดูผนังฝั่งตรงข้าม และค้นพบมือจับเหล็กกล้าหนึ่งคู่อย่างง่ายดาย เดิมนางคิดจะดึงมัน ทว่าขบคิดเล็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นเอียงกายใช้ไหล่ดันแทน นางออกแรงอยู่สักพัก ผนังจึงเปิดเป็นช่อง ลำแสงอันสว่างไสวสาดตรงเข้ามาในห้องลับทันที
ความพยายามไม่เคยหักหลังผู้มุมานะจริงๆ เสียด้วย ฝั่งนี้ก็คือห้องหนังสือที่เหลียงซั่งประสบเหตุ!
เฉิงเซ่าซางประหนึ่งได้กินผลเหรินเซิน* สิบแปดผล ความเหนื่อยล้าสลายสิ้น ทั่วร่างปลอดโปร่ง ยินดีสุดประมาณ! มิน่าเล่า นางค้นหาทางลับห้องลับในห้องหนังสือของเหลียงซั่งอย่างไรล้วนเปล่าประโยชน์ เป็นเพราะประตูลับบานนี้เปิดได้เพียงจากฝั่งห้องลับนี้นี่เอง!
นางก้าวออกจากห้องลับ มัวกระหยิ่มกับตนเองพักหนึ่ง ขณะคิดจะตะโกนเรียกเหลียงชิวเฟยมา เสียงกริ๊กหนึ่งหนพลันแว่วขึ้นที่ด้านหลัง ไม่รอให้นางเหลียวกลับไป ฝ่ามือเย็นเยียบมีพลังข้างหนึ่งก็หิ้วตัวนางกลับเข้าห้องลับไปในคราวเดียว สิ้นเสียงทึบๆ สองหน ประตูลับซ้ายขวาสองบานล้วนถูกปิดลงเสียแล้ว