ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 109
“อันที่จริงข้าไม่เคยอยากรู้ว่าเหลียงซั่งตายอย่างไร เพราะว่ากันถึงที่สุด ผู้ที่จะวางแหฟ้าตาข่ายดิน รวบการเดินทางของชวีหลิงจวินเข้าในแผนการด้วยเช่นนี้ได้ หากมิใช่คนสกุลเหลียงเองย่อมไม่อาจทำสำเร็จ ยิ่งไม่ใช่คนผู้เดียวจะทำได้ลุล่วง” หลิงปู้อี๋กล่าว
เหลียงอู๋จี้หน้าดำทะมึน ไม่เปล่งเสียงสักคำ
“บัดนี้เรื่องยังไม่ลุกลาม กรมอาญายังพอจะไว้หน้าสกุลเหลียงได้บ้าง ทว่ารอจนยามที่โอรสสวรรค์พิโรธ มีรับสั่งจับกุมบ่าวทุกระดับชั้นในสกุลเหลียงไปเค้นสอบอย่างละเอียดหนึ่งรอบ มีหรือยังจะสืบไม่ทราบ”
เหลียงอู๋จี้ถอนหายใจกล่าว “ข้ารู้ เปรียบกับให้คนของกรมอาญามาไต่สวน มิสู้ข้าเป็นผู้ซักถามเอง เพียงแต่…ระดมคนเริ่มสืบสวนเมื่อใด เกียรติภูมิของสกุลเหลียง…”
“หรือว่าตอนนี้เกียรติภูมิของสกุลเหลียงดีนัก?” หลิงปู้อี๋ถากถาง “ระดมคนในบ้านตนเอง ย่อมดีกว่าให้กรมอาญาระดมใช้ทัณฑ์ลงโทษกระมัง ใต้เท้าผู้ว่าการ ผู้แซ่หลิงขอกล่าวเพียงเท่านี้ สรุปคือภายในวันนี้หากท่านไม่อาจมอบคำตอบแก่ข้า เช้าวันพรุ่งนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าจี้ก็จะมาถึงที่นี่เพื่อจับกุมคน”
เหลียงอู๋จี้โกรธกรุ่น “ภายในวันนี้? เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว…”
“เรื่องราวยิ่งลากยาว รัชทายาทก็ยิ่งได้รับผลเสีย! รอถึงสิบวันครึ่งเดือน ทุกผู้คนทั่วเมืองหลวงเชื่อถือคำลือเกี่ยวกับรัชทายาทจนสิ้น ถึงตอนนั้นใต้เท้าผู้ว่าการสืบจนความจริงปรากฏก็ป่วยการแล้ว!”
เหลียงอู๋จี้ถูกต้อนจนมุม เขาตบโต๊ะแรงๆ หนึ่งหนก่อนตอบรับเสียงก้อง “ได้ ข้าจะจับกุมผู้ต้องสงสัยทั้งหมดมาสอบสวน ให้คำตอบแก่จื่อเซิ่งก่อนตะวันตกดิน!”
“ใต้เท้าผู้ว่าการเฉียบขาดยิ่ง” หลิงปู้อี๋เอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “ข้าจะนิ่งคอยฟังข่าวดี เรื่องยุติแล้วจะจัดเลี้ยงขอขมาที่เสียมารยาทต่อท่านในวันนี้”
เหลียงอู๋จี้โบกมือติดๆ กัน “เฮ้อ นี่ไม่ต้องกล่าวถึงหรอก เป็นโชคร้ายของวงศ์ตระกูลต่างหาก โชคร้ายของวงศ์ตระกูล…”
ตอนนี้เององครักษ์หนุ่มน้อยคิ้วตาหมดจดผู้หนึ่งพลันบุกพรวดเข้ามาโดยไม่รายงานก่อน ถลาทรุดเข่าลงเบื้องหน้าหลิงปู้อี๋ แล้วตะเบ็งเสียงเรียกทันใด “นายน้อย! แย่แล้วขอรับ นายหญิงน้อย…นายหญิงน้อย นาง…นางหายตัวไป!”
หลิงปู้อี๋หน้าถอดสี คว้าตัวองครักษ์ผู้นั้นแล้วถามเสียงกร้าว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น! ข้าสั่งให้เจ้าเฝ้าดูนางไม่ใช่หรือ!”
เหลียงชิวเฟยเงยหน้าขึ้น ละอายใจจนหลั่งเหงื่อโซมใบหน้า “นายหญิงน้อยเดินไปเดินมาอยู่ในห้องสามห้องของเรือนตำราโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบพวกข้าน้อยล้วนเฝ้าอยู่นอกเรือน เมื่อชั่วครู่ก่อนยังเห็นนางเข้าๆ ออกๆ อยู่เลย ใครจะรู้เพียงพริบตาเดียวนางกลับหายตัวไปเสียแล้ว นอกเรือนมีคนตั้งมากเพียงนั้น นอกจากพวกข้าน้อยก็ยังมีบ่าวชายหญิง ไฉนจึง…ไฉนจึงได้…”
หลิงปู้อี๋หันขวับมองไปทางเหลียงอู๋จี้ สีหน้าของชายหนุ่มเรียบสงบ ทว่าในดวงตาดุจมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง “ใต้เท้าผู้ว่าการ เกรงว่าวันนี้ผู้เยาว์ต้องล่วงเกินจวนของท่านครั้งใหญ่แล้ว”
ภายในห้องลับอันเงียบสงัดอึมครึม มีเพียงแสงริบหรี่ส่ายไหวจากแท่งจุดไฟเล็กๆ แท่งนั้น บุรุษที่แต่งกายในชุดบ่าวผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้แสงไฟ ริ้วกล้ามเนื้อบนใบหน้าโปนขึ้นนิดๆ ยิ่งแลดูดุร้ายน่าพรั่นพรึง เขาเดินประชิดมาทางเฉิงเซ่าซางช้าๆ พลางเปล่งเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายเบาๆ ประหนึ่งกำลังหยอกเย้าหนอนน้อยในอุ้งมือ
เฉิงเซ่าซางถูกคุกคามไปถึงส่วนท้ายของห้องลับอันแคบยาว จนกระทั่งแผ่นหลังชิดติดผนัง นางเพียรบังคับตนเองให้ยืดกายตรงก่อนพลันเอ่ย “คุณชายเหลียงรู้สึกว่าฆ่าข้าแล้ว ตนเองก็จะรอดปลอดภัยได้?”
เหลียงสยาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากสั้นกระชั้นดุจเสียงของนกแสก “ห้องลับนี้ไม่มีใครล่วงรู้ ข้าเชือดเจ้าทิ้ง รอจนคลื่นลมผ่านพ้นค่อยมาสะสางศพเจ้า ใครกันจะรู้ได้”
“ไยคุณชายเหลียงไม่ถามเล่าว่าใต้เท้าหลิงไปที่ใด ข้าอยู่ที่นี่ค้นไปค้นมา เขากลับสนทนาลับอยู่กับญาติผู้พี่ของท่านจวบจนบัดนี้ ท่านว่าพวกเขากำลังพูดคุยอันใดกันอยู่” เฉิงเซ่าซางฝืนทำเยือกเย็น ทั้งที่หน้าผากผุดเหงื่อซึม
เหลียงสยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะหยัน “เจ้าไม่ต้องมาหลอกข้า!”
“ข้าไม่ได้หลอกท่าน!” เฉิงเซ่าซางพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตนเองสั่น
“ความจริงเหตุที่ทุกคน รวมถึงใต้เท้าจี้ผู้เข้มงวดเที่ยงตรงถูกเรื่องระหว่างชวีฮูหยินกับรัชทายาททำให้ดวงตาพร่ามัวนั้น ล้วนเป็นเพราะฐานะอันสูงศักดิ์ของรัชทายาทเกี่ยวโยงเป็นวงกว้างยิ่ง หึๆ คนเป็นขุนนางเหล่านี้มักชอบมองเรื่องราวไปในทางใหญ่โต คดียิ่งสะสางยากก็ยิ่งดี ผู้ที่พัวพันยิ่งสูงศักดิ์ก็ยิ่งภาคภูมิใจกับผลงาน! ทว่าหากลองคิดดูอีกที เรื่องราวอาจไม่ได้สับสนยุ่งเหยิงถึงเพียงนั้น อาจแค่มีคนบางคนหมายใช้ประโยชน์จากเรื่องของชวีฮูหยินกับรัชทายาทมาอำพรางตนเองก็เป็นได้”
สีหน้าเหลียงสยาค่อยๆ เขียวคล้ำ “หรือว่าหลิงปู้อี๋ก็ทายออกแล้ว?”
เฉิงเซ่าซางไม่กล้ากระทั่งจะปาดเหงื่อ ยังคงคลี่ยิ้มน้อยๆ “คิดสิว่าพี่ชายท่านตายแล้ว ใครกันจะได้รับประโยชน์สูงสุด อันที่จริงไม่ใช่ชวีฮูหยิน หากแต่เป็นท่าน บุตรชายของพี่ชายท่านเพิ่งจะกี่ขวบ ส่วนผู้ว่าการเหลียงก็อายุสี่สิบหกสี่สิบเจ็ดแล้ว จนบัดนี้ยังคงไร้บุตรชาย เมื่อพี่ชายท่านจากไป ผู้ว่าการเหลียงนอกจากแต่งตั้งท่านเป็นผู้นำสกุลรุ่นต่อไปก็ไม่มีทางอื่นอีก”
“ในเมื่อพวกเจ้าล้วนรู้แล้ว เหตุใดยังไม่มาจับข้าเล่า” เหลียงสยาพลันใจเย็นลง เปล่งเสียงหัวเราะอันชวนสะพรึง
เฉิงเซ่าซางแสร้งถอนใจอย่างจนปัญญา “เพราะพวกเราไม่รู้ว่าที่แท้ท่านฆ่าคนด้วยวิธีใดน่ะสิ! อย่างไรเสียท่านก็เป็นคุณชายสกุลเหลียง ดังคำว่า ‘ทัณฑ์ไม่ถึงขุนนางระดับสูง’ จะให้จับท่านไปลงทัณฑ์ทรมานที่กรมอาญาหนึ่งยกหรือไร ย่อมต้องมีหลักฐานจึงจะตั้งข้อหาท่านได้! เฮ้อ น่าสะทกสะท้อนใจนัก ผู้คนล้วนยกย่องว่าใต้เท้าหลิงเก่งกาจจนน่าตระหนก แต่จนบัดนี้กลับยังคิดไม่ออกว่าท่านลงมือเช่นไรกันแน่!”