ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 109
เสียงพูดของหลิงปู้อี๋แม้ฟังคล้ายเรียบสงบ ทว่าระดับเสียงกลับดังก้องขึ้นมิใช่น้อย “ใต้เท้าผู้ว่าการ ขอล่วงเกินครั้งใหญ่แล้ว องครักษ์! ลงมือได้ จงรื้อสามห้องนี้ทิ้งเสีย!”
เหลียงสยาตะลึงงัน เฉิงเซ่าซางเองก็ตาค้างอยู่บ้างขณะงึมงำ “ไฉนข้านึกไม่ถึงเรื่องรื้อเรือนนะ ทำราวแมลงวันที่ไร้หัว มัวหาทางลับห้องลับอะไรกัน รื้อทิ้งซะก็แจ่มแจ้งทุกอย่างไม่ใช่หรือไร”
ตอนนี้คนด้านนอกมาชุมนุมกันมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากแทรกปนด้วยเสียงร้องตกใจอันแหลมสูงของสตรี ยังมีเสียงอันชราภาพเสียงหนึ่งดังกังวานเป็นพิเศษ “ใต้เท้าหลิงตรึกตรองด้วย! จวนร้อยปีของสกุลเหลียง ไฉนท่านจึง…”
“นี่เป็นศาลบรรพชนสกุลเหลียงหรือ เรือนนี้เซ่นไหว้บรรพชนของท่านอยู่หรือไร เป็นชีวิตของภรรยาข้าที่สำคัญ หรือเป็นเรือนตำรานี้ที่สำคัญ ท่านลุงสกุลเหลียงผู้นี้ วันนี้หลิงจื่อเซิ่งจดจำท่านไว้แล้ว รอวันหน้าจะมารับการชี้แนะอีกครา! ฮึ อย่าว่าแต่เรือนไม้สลับอิฐสามห้องเท่านี้เลย ต่อให้เป็นศาลบรรพชนสกุลเหลียงของท่านจริง วันนี้ข้าก็จะรื้อให้ได้!”
เสียงชราภาพทว่าก้องกังวานนั้นขาดหายไปทันตา รอบด้านล้วนเป็นใบ้ไร้สุ้มเสียง
ฟังคล้ายหลิงปู้อี๋แค่นหัวเราะอย่างเย็นชาหนึ่งที จากนั้นเร่งรัดไม่ขาดปากให้รื้อเรือนโดยไว เหลียงสยากับเฉิงเซ่าซางต่างได้ยินเสียงทุบทำลายดังถี่ยิบจากเบื้องบนและซ้ายขวา ไม่รู้ในห้วงฉุกละหุกหลิงปู้อี๋หาเครื่องมือหนักจำนวนมากนี้มาจากที่ใดกัน
“ข้ารู้สึกว่าท่านยังคงออกไปเถิด” เฉิงเซ่าซางเตือนด้วยความหวังดี “ตอนนี้ออกไปยังนับได้ว่าท่านมอบตัว หาไม่รอจนหลังคาเรือนถูกรื้อค่อยออกไป ท่านไม่เสียความองอาจแย่หรือ”
เหลียงสยาหน้าเครียดเกร็ง ได้ยินเสียงโครมครามรอบทิศดังใกล้เข้ามาทุกขณะ สองมือของเขาจึงยึดกุมเฉิงเซ่าซางอย่างแน่นหนา ใช้หลังไหล่ผลักเปิดประตูลับฝั่งห้องหนังสือ แล้วตะโกนพลางเดินออกไป “คนอยู่ที่ข้า พวกเจ้าทั้งหมดจงหยุดมือ!”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าภาพลักษณ์สำคัญยิ่ง ท่ามกลางความชุลมุนนางยังมิวายก้มมองตนเอง พบว่านอกจากกลิ้งเปรอะฝุ่นดินทั้งตัวแล้ว เครื่องแต่งกายยังคงเรียบร้อยดี
การรื้อเรือนยุติลงชั่วคราว เหลียงสยาจับกุมเฉิงเซ่าซางเดินออกมานอกเรือน
อยู่ในห้องลับอันมืดมิดมาเนิ่นนาน พลันได้เห็นแสงตะวันอีกครา นางตื้นตันจนแทบน้ำตาไหล แม่จ๋า หนนี้บานปลายจนเลยเถิดแล้ว
นอกเรือนล้อมไปด้วยผู้คนแน่นขนัดหลายชั้น กลุ่มคนวงชั้นในสุดคือองครักษ์ของหลิงปู้อี๋ แต่ละคนพาดเกาทัณฑ์น้าวคันธนู เล็งตรงไปทางเหลียงสยา วงชั้นกลางคือทหารส่วนตัวของเหลียงอู๋จี้ ต่างชักดาบกระบี่ออกจากฝัก จัดกระบวนตั้งรับอย่างรัดกุม วงชั้นนอกคือบ่าวชายของจวนสกุลเหลียง
ถัดจากวงล้อมสามชั้นนี้ไปจึงจะเป็นเหล่าญาติสนิทมิตรสหาย บ่าวรับใช้ และกลุ่มผู้กินแตงในจวนสกุลเหลียง
เดิมหลิงปู้อี๋ยืนอยู่บนชั้นสองของสำนักศึกษาฝั่งตรงข้ามเพื่อบัญชาการโดยรวม ครั้นเห็นเหลียงสยากับเฉิงเซ่าซางสองคนเดินออกมา เขาก็ไม่มัวหันหลังอ้อมลงมาทางบันได ทว่ากระโดดลงจากชั้นสองมาโดยตรง
ประดุจหมัวซีแยกทะเลแดง* วงล้อมสามชั้นขององครักษ์ ทหารส่วนตัว และบ่าวชายต่างพากันหลีกทางจนเปิดเป็นช่องทางหนึ่ง หลิงปู้อี๋ย่างก้าวใหญ่ตรงไป หยวนเซิ่นรุ่มร้อนหมายจะเข้าไปเช่นกัน แต่ถูกเหลียงอู๋จี้คว้าตัวไว้กลางทาง ด้วยกังวลว่าบัณฑิตเช่นอีกฝ่ายยากจะหลบพ้นดาบกระบี่
“เจ้าห้ามเข้ามานะ! ไม่อย่างนั้นข้าจะบีบคอนางให้ตาย!” เหลียงสยาถอยร่นไปหนึ่งก้าว แผ่นหลังพิงเสา ใบหน้าเกลื่อนด้วยความหวาดหวั่น
หลิงปู้อี๋สีหน้าขาวซีด ในดวงตาแฝงซึ่งอารมณ์กระสับกระส่าย “เจ้าปล่อยคนก่อน อย่างอื่นล้วนพูดคุยได้ง่าย!”
“ปล่อยนางแล้วข้ายังจะมีทางรอดอีกหรือ! หลิงปู้อี๋ เจ้าอย่าดูถูกกันนัก!”
หลิงปู้อี๋เม้มปากนิดๆ เพียงยื่นมือโบกไปทางด้านหลัง เห็นองครักษ์สองคนคุมตัวหญิงสูงวัยผู้หนึ่งมา เฉิงเซ่าซางตั้งสติมองไป อีกฝ่ายคือเหลียงเอ่านั่นเอง หลิงปู้อี๋กล่าว “เจ้าปล่อยนาง แล้วข้าจะไม่สร้างความลำบากแก่มารดาเจ้า!”
ตอนนี้มีผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ในสำนักศึกษาอีกผู้หนึ่งพลันเปล่งเสียง “ใต้เท้าหลิง ไยต้องสร้างความลำบากแก่สตรีด้วยเล่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นสะใภ้สกุลเหลียง พวกเราสกุลเหลียงอยู่มาร้อยปี…”
หยวนเซิ่นเอ่ยอย่างร้อนใจ “ท่านลุงสามอย่าพูดอีกเลย! หากแม่นางน้อยที่ฮองเฮาทรงส่งมาไถ่ถามคดีผู้นี้เป็นอันใดไป นั่นเท่ากับดูหมิ่นพระเมตตา สกุลเหลียงก็ต้องยุติที่ร้อยปีนี้แล้ว!”
ผู้อาวุโสท่านนั้นจำต้องหุบปากอย่างวางหน้าไม่สนิท
ครั้นเหลียงเอ่าถูกดึงก้อนผ้าที่อุดอยู่ในปากออก นางก็ร่ำไห้ร้องเรียกบุตรชาย “สยาเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป! เหตุใดเจ้าต้องทำเยี่ยงนี้ด้วย เป็นพวกเขาปรักปรำเจ้าใช่หรือไม่! เจ้าจะฆ่าพี่ชายตนเองได้อย่างไรกัน…”
เสียงพูดไม่ทันขาดคำ ทุกคนก็เห็นเหลียงชิวฉี่เดินออกมาจากห้องลับที่แทรกตัวอยู่ห้องนั้น ในมือเขาถือเสื้อเปื้อนเลือดตัวหนึ่ง ชูขึ้นสูงให้คนทั้งหมดได้เห็น ปากก็เอ่ยรายงานเสียงก้อง “นายน้อย ในห้องลับนั้นไม่เพียงมีเสื้อเปื้อนเลือดของเหลียงสยาขณะลงมือสังหาร ยังมีอาหารน้ำดื่ม ตลอดจนชุดบ่าวชายสำหรับผลัดเปลี่ยนสองสามตัวขอรับ!”
เรื่องราวชัดแจ้งยิ่งแล้ว เหลียงอู๋จี้กับผู้เฒ่าสกุลเหลียงทั้งหลายล้วนมีสีหน้าเขียวคล้ำ กระดากระคนละอายใจ
หลิงปู้อี๋กล่าว “จับได้คาหนังคาเขา เจ้ายังจะว่าอย่างไร จงรีบจำนนเสียดีกว่า คนในตระกูลกับมารดาชราจะได้ไม่ต้องรับความอัปยศ!”
เหลียงสยารู้ว่ายากจะพ้นผิดแล้ว จึงทุ่มสุดตัวตะเบ็งเสียงลั่น “ข้าไม่จำนน! ถึงข้าตายก็ต้องหาสักคนมาตายด้วย! เจ้าจะฆ่าหญิงแก่นี่ก็ฆ่าได้เลย ข้าไม่มีทางสะทกสะท้าน!”
แม้แต่คนที่ชั่วช้าสามานย์มาแต่ไหนแต่ไรก็มีน้อยนักที่จะไม่ไยดีบุพการี เหลียงสยาตอบออกมาเยี่ยงนี้ คนสกุลเหลียงล้วนขายหน้าไม่เหลือดี ลอบถอนใจว่าไฉนจึงให้กำเนิดบุตรหลานอกตัญญูพรรค์นี้ออกมาได้
หลิงปู้อี๋มีสีหน้าเย็นชา สั่งการอย่างเฉียบขาดฉับไว “องครักษ์ จงหักแขนหญิงชราผู้นี้ข้างหนึ่งก่อน ดูซิว่าคุณชายเหลียงจะสะทกสะท้านหรือไม่!”
วาจานี้พอเปล่งออกมา ทุกผู้คนต่างตกตะลึง จับหญิงสูงวัยมาข่มขู่นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าลงมือจริงกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในใจผู้คนสองร้อยกว่าคนในที่นี้ล้วนคิดกันว่า หลิงปู้อี๋ใจคออำมหิตจริงๆ เสียด้วย
แม้เมื่อครู่เหลียงสยาพูดจาโอหัง แต่เมื่อเห็นแขนของมารดาแท้ๆ ถูกองครักษ์ผู้หนึ่งยึดกุมไว้ในมือทำท่าจะบิดหักอยู่นั้น จิตใจของเขาไม่แคล้วหวั่นไหว ส่งผลให้ฝ่ามือคลายจากลำคอเฉิงเซ่าซางนิดๆ
ทันใดนั้นเองเฉิงเซ่าซางก็รู้สึกว่าหลอดลมพลันได้รับอิสระ จึงเผยมีดสั้นในแขนเสื้อ แทงใส่ช่วงเอวของเหลียงสยาที่อยู่ด้านหลังตนทันที ใต้คมมีดปรากฏเลือดในพริบตา เหลียงสยาร้องโอยด้วยความเจ็บปวด เฉิงเซ่าซางก็รีบฉวยจังหวะกลิ้งตัวเรียดพื้น
ไม่รอให้อีกฝ่ายพุ่งตัวไปหานางได้อีกครา หลิงปู้อี๋ไม่รู้หนีบมีดบินที่บางเฉียบปานใบหลิวไว้กับร่องนิ้วตั้งแต่เมื่อใด ซัดออกไปสี่เล่มต่อเนื่องกันประดุจรุ้งเหิน สองเล่มเสียบเข้าฝ่ามือขวาของเหลียงสยาซึ่งจวนจะแตะถึงหัวไหล่นาง ส่วนอีกสองเล่มแยกย้ายเสียบเข้าที่ฝ่ามือซ้ายกับข้อมือซ้ายของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ
ข้างหูเฉิงเซ่าซางอื้ออึงด้วยเสียงของเหลียงสยาซึ่งร้องโหยหวนราวเม่นตัวใหญ่เกลือกกลิ้งบนพื้นโดยไม่รู้สาเหตุ จากนั้นนางก็ถูกหลิงปู้อี๋โผตรงมาโอบเข้าสู่อ้อมอก ยามที่นางเงยหน้าขึ้นอีกครา ก็ได้เห็นดวงหน้าอันหล่อเหลากระจ่างตาทว่าขาวซีดของเขาแล้ว
กลุ่มองครักษ์สืบเท้าขึ้นหน้ามาโดยไม่รั้งรอ กอปรเป็นกำแพงมนุษย์ ล้อมป้องเบื้องหน้าคนทั้งสองอย่างมิดชิดชนิดสายลมไม่อาจเล็ดลอด
หลิงปู้อี๋ขบขากรรไกรแน่น แววตาดุดัน กอดรัดเด็กสาวไว้ แล้วเริ่มเปิดฉากเอ็ดนางโดยไม่คำนึงว่าสายธนูรอบทิศยังคงน้าวตึง “คำพูดของข้าเจ้าไม่เคยยอมฟังเลยใช่หรือไม่! ข้าบอกเจ้าว่าไม่ต้องมา เจ้าก็จะมาให้ได้ ข้าบอกเจ้าว่าให้ระวัง เจ้ากลับกระทำตามอำเภอใจ หากไม่มีชีวิตแล้ว เจ้าควรทำเช่นไรเล่า”
ประโยคสุดท้ายนี้เป็นคำถามที่เต็มไปด้วยตรรกะอันย้อนแย้ง ทว่ายามนี้เฉิงเซ่าซางไม่อาจมัวจับผิด เพราะกล้ามแขนอันแกร่งกำยำของชายหนุ่มรัดเกร็งจนกระดูกนางเจ็บแปลบไปทั้งร่าง นางลำคอตีบตันอยู่เป็นนานกว่าจะเปล่งเสียงโฮออกมา แล้วร้องทุกข์ปนสะอื้น