ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 109
“เมื่อครู่อยู่ข้างในข้านึกว่าจะต้องตายแน่แล้ว ในใจคิดถึงเพียงแต่ท่าน คิดว่าหากก่อนตายได้พบหน้าท่านสักครั้งก็คงดี! พอรู้ว่าท่านมาช่วยข้าแล้ว ในใจข้าเต็มตื้นจนแม้นตายก็เต็มใจ! ข้าเห็นท่านเป็นผู้ที่สนิทชิดใกล้ที่สุดของข้า เป็นผู้ที่ข้าพึ่งพิงได้ยิ่งกว่าใครทั้งหมด ตอนนี้ข้าทั้งเหนื่อยล้าทั้งหวาดกลัว ท่านกลับจำได้แต่ดุด่าข้า รู้เช่นนี้แต่แรก ข้าตายอยู่ในนั้นเสียก็ดี…”
ก่อนหน้านี้หลิงปู้อี๋เห็นเด็กสาวใบหน้ามอมแมม หน้าผากไม่รู้โขกถูกที่ใดจนบวมนูน ในดวงตาวาวใสคู่โตยังขังคลอด้วยหยาดน้ำ พาให้หัวใจเขาอ่อนยวบไปครึ่งดวงตั้งแต่แรก ยามนี้มาได้ฟังวาจานี้ หัวใจอีกครึ่งดวงก็อ่อนตาม ทั้งเหลวละลายเป็นน้ำอุ่นเต็มช่องอกแล้ว เขาลอบถอนหายใจ ปลดเสื้อคลุมของตนห่อหุ้มนางไว้ก่อนโอบกอดนางแนบอก พูดปลอบประโลมเสียงเบา
น่าเสียดาย ใต้เท้าหลิงผู้เก่งกาจสามารถในทุกเรื่องมีการฝึกปรือทางด้านนี้ไม่เพียงพอ วกไปวนมาได้แต่ปลอบนางทำนองว่า “เอาล่ะๆ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ข้าไม่ดุเจ้าแล้ว” ยังดีที่เขามีรูปเป็นทรัพย์ เรือนกายแข็งแกร่ง สุ้มเสียงชวนหวั่นไหว เฉิงเซ่าซางจึงฝืนใจยอมรับคำปลอบนี้
เหลียงชิวฉี่ในฐานะที่มีสตรีผู้รู้ใจถึงสี่นางมองนายน้อยของตนด้วยความเวทนาล้นใจ
เหลียงชิวเฟยในฐานะที่ไม่มีสตรีผู้รู้ใจสี่นาง มีแต่ความงุนงงเกลื่อนใบหน้า เขารู้สึกตงิดๆ ว่าแม่นางน้อยสกุลเฉิงไม่ได้อ่อนแอขี้กลัวเยี่ยงนี้แต่อย่างใด เมื่อครู่นางแทงเหลียงสยาทั้งโหดเหี้ยมทั้งแม่นยำ กลิ้งเรียดพื้นแคล่วคล่องถึงเพียงใด ทว่า…บางที…เอ่อคือ เขาเองก็ไม่รู้แล้ว
หยวนเซิ่นเห็นเฉิงเซ่าซางพ้นภัย เดิมอยากจะตรงไปไถ่ถามสองสามประโยค ต่อเมื่อเห็นหนุ่มสาวแซ่หลิงกับเฉิงสองคนอิงแอบอยู่ด้วยกัน ฝีเท้าของเขาก็ชะงักกึก กลับหลังหันไปทันที
หลายปีที่ผ่านมาบรรดาแม่นางน้อยชาติตระกูลสูงส่งในเมืองหลวงเคยแสดงความอ่อนแอของพวกนางต่อหลิงปู้อี๋ไม่ต่ำกว่าสิบหน บ้างตกสระน้ำ บ้างห้อยตัวอยู่บนกิ่งไม้ บ้างแขวนร่างอยู่บนผาขาด…ต่างมุ่งหวังเฝ้ารอว่าหลิงปู้อี๋จะยื่นมือเข้าช่วย แต่หลิงปู้อี๋ก็เพียรแสดงออกอย่างมุ่งมั่นไม่ต่ำกว่าสิบหนเช่นกันว่าเขาไม่แพ้ทางลูกไม้ ‘มารยาอ่อนแอ’ นี้จริงๆ
หยวนเซิ่นคิด…อันที่จริงก็แค่คนไม่ถูกต้อง ขอเพียงคนถูกต้องแล้ว ไม่ว่านางจะอ่อนแอหรือแสบสัน เจ้าเล่ห์หรือหัวช้า เจนจัดหรือไร้เดียงสา หลิงปู้อี๋ล้วนยินยอมพ่ายแพ้ ทั้งยินยอมอย่างเต็มอกเต็มใจดุจกินน้ำตาลอันหวานล้ำ
คำกล่าวรุกรับระหว่างคู่หนุ่มสาวทางนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วสั้นๆ ทั้งมีองครักษ์ล้อมบังอยู่เบื้องหน้า ผู้คนทั่วบริเวณไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะคู่มารดากับบุตรชายสกุลเหลียงทำตัวเด่นเหลือเกินจริงๆ…
ฉวยจังหวะชุลมุนตอนที่เฉิงเซ่าซางพ้นภัย เหลียงเอ่าแผดร้องปานคลุ้มคลั่ง ดิ้นหลุดจากองครักษ์ถลาไปถึงข้างกายบุตรชาย ลูบคลำตามแผลของเขาพลางคร่ำครวญหวนไห้ “ลูกแม่ ไฉนเจ้าเลอะเลือนเยี่ยงนี้เล่า”
เหลียงสยาเดือดดาล ผลักนางออกห่างแล้วตะคอกกลับ “ล้วนเป็นความผิดของท่าน! แต่ไรมาท่านไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา ในใจท่านมีแต่พี่ชายข้าเป็นบุตรชายคนเดียว เพราะหลังจากคลอดเหลียงซั่ง ท่านถึงถูกท่านพ่อเลื่อนฐานะขึ้นเป็นภรรยาเอก หาไม่ท่านก็ยังคงเป็นแค่อนุ! ดังนั้นท่านจึงมองเหลียงซั่งเป็นดวงใจ ประคบประหงมรักถนอมทั้งวี่วันก็ยังติว่าไม่พอ!”
ผู้คนฟังจบก็ต่างวิจารณ์กันเซ็งแซ่
เมื่อแรกนายท่านผู้เฒ่าเหลียงหมายให้บุตรชายมีฐานะมั่นคงขึ้น จึงจงใจปกปิดพื้นเพของเหลียงเอ่า แสร้งบอกว่านางเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่แทนภรรยาผู้ล่วงลับ เรื่องนี้นอกจากคนส่วนน้อยไม่กี่คนอย่างเหลียงอู๋จี้กับเหลียงซื่อมารดาของหยวนเซิ่นแล้ว ในตระกูลถึงกับไม่มีผู้อื่นล่วงรู้
“เช่นนั้นข้าเป็นใคร เป็นตัวอะไรกัน! ท่านคลอดข้าเพิ่มออกมาเพื่อเป็นตัวสำรองของพี่ชายแค่นั้นสินะ! ปีนั้นเขาป่วยหนัก ท่านพลันดีกับข้า แต่ต่อมาพอเขาหายป่วย ท่านก็ทิ้งข้าไปอีก! เห็นกันอยู่ว่าเหลียงซั่งมีคุณสมบัติพื้นๆ เป็นตัวไร้ค่าไร้ความสามารถ! แต่ว่าท่าน ท่านพี่ผู้ว่าการ รวมถึงคนทั้งตระกูลล้วนเห็นเขาเป็นสิ่งล้ำค่า! ไม่ว่าจะสำนักศึกษาที่ดีที่สุด อาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด หรือแม้แต่การแต่งงาน เขาก็ได้แต่งกับบุตรสาวที่มีรูปโฉมความสามารถและฐานะดีที่สุดในตระกูลชั้นสูงอย่างสกุลชวี! ส่วนข้าเล่า กลับได้แต่แต่งกับบุตรสาวเจ้าหน้าที่ธรรมดาสักคน ถือสิทธิ์อะไร เขาถือสิทธิ์อะไร ทั้งที่ข้ากับเขาเกิดจากมารดาเดียวกัน!”
ชวีหลิงจวินซึ่งยืนอยู่ไกลๆ มีสีหน้าอมเหลืองดุจกระดาษทอง บ่าวชายหญิงของสกุลชวีที่ห้อมล้อมอยู่รอบกายนางล้วนมองคนสกุลเหลียงด้วยแววตาโกรธขึ้ง มิใช่ว่าบุตรีภรรยาเอกกับบุตรชายอนุไม่อาจแต่งงานกัน จ้าวเซียงจื่อ* ผู้มีนามกระเดื่องยุคชุนชิวยังเกิดจากบ่าวด้วยซ้ำ มีคนใดเล่ากล้าดูแคลนเขา ทว่าพวกเจ้าสกุลเหลียงจะมาหลอกกันเยี่ยงนี้ไม่ได้!
เหลียงเอ่าคุกเข่ากับพื้น กอดต้นขาเหลียงสยาพลางร่ำไห้อย่างเจ็บปวด “แม่จะไม่เห็นเจ้าในสายตาได้อย่างไร! เพียงแต่พี่ชายเจ้าร่างกายอ่อนแอมาแต่เล็ก มะ…แม่…ต่อให้เป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่ควรปองร้ายเขา พวกเจ้าเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันนะ”
เหลียงสยาฉุนขาด เตะมารดาแท้ๆ ออกไปในเท้าเดียวแล้วก่นด่าราวเสียสติ “ข้าตกอยู่ในสภาพเยี่ยงวันนี้ ล้วนเป็นความผิดของท่าน! เดิมข้าป้ายความผิดให้ชวีซื่อไปแล้ว หากลงโทษกันเองในตระกูลเงียบๆ ยังจะมีเรื่องอะไรได้! พวกแก่หนังเหนียวนั่นไม่กล้าล่วงเกินราชวงศ์หรอก แค่มอบผ้าขาวผืนหนึ่งให้ชวีซื่อจบชีวิตตนเอง เรื่องก็จบแล้ว! เป็นท่าน เป็นเพราะท่านเที่ยวไปป่าวร้องข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อบุตรชายคนโตที่ท่านรักดั่งดวงใจ ดึงดันจะทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โตจนทำร้ายให้ข้าตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้!”
หลิงปู้อี๋หัวเราะเยาะเบาๆ
เฉิงเซ่าซางได้ยินแล้วกระซิบถาม “ทำไมหรือ”
หลิงปู้อี๋โน้มใบหน้าลงตอบริมหูนาง “ไม่ว่าหญิงสูงวัยผู้นี้ป่าวร้องหรือไม่ ล้วนจะมีคนทำให้เรื่องนี้บานปลายใหญ่โต”
เฉิงเซ่าซางคล้ายเข้าใจคล้ายยังงุนงง
หลิงปู้อี๋ลูบศีรษะเด็กสาวในอ้อมอกอย่างรักถนอม ยามเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “ข้าต้องการจับเป็น”
เหลียงชิวฉี่ตะโกนถ่ายทอดคำสั่ง เหล่าองครักษ์ก็พร้อมใจกันเก็บเกาทัณฑ์ สะพายคันธนูกลับขึ้นหลัง แล้วปลดเชือกกับโซ่เหล็กจากข้างเอวหมายจับเป็นเหลียงสยา
ทว่าตอนนี้เองเกาทัณฑ์อันเฉียบไวปานสายฟ้าดอกหนึ่งกลับโฉบผ่านไป ปักต้องลำคอของเหลียงสยาอย่างถนัดถนี่ เกาทัณฑ์ยาวขนนกสีเทาดอกนั้นมีพลังกล้าแข็งยิ่ง หัวธนูทะลวงผ่านเลือดเนื้อแล้วถึงกับเสียบตรึงบนเสาที่อยู่ด้านหลังของเหลียงสยา หางธนูยังคงสั่นสะท้าน
คนทั้งหมดล้วนตื่นตระหนก มองย้อนไปยังทิศทางต้นเสียงก็เห็นเหลียงอู๋จี้ยืนสูงอยู่บนเนินดิน ห้อมล้อมด้วยทหารส่วนตัว แขนขวาถือคันธนู มือซ้ายยังอยู่ในท่าเหนี่ยวสาย สายธนูยังคงสั่นไหวแผ่วเบา
ชั่วขณะนั้นทั่วบริเวณเงียบสงัด กระทั่งเข็มหล่นสักเล่มก็ต้องได้ยิน
เหลียงเอ่าจับจ้องศพบุตรชายที่เบิกดวงตาขึ้งเคียดค้างโพลง เนิ่นนานกว่านางจะตอบสนองได้ ขณะจะสาปแช่งด่าทอเหลียงอู๋จี้ว่าอำมหิตชั่วช้า เกาทัณฑ์อีกสองดอกของเหลียงอู๋จี้ก็ยิงขวับๆ ปักเข้าผนังอิฐเบื้องหลังเหลียงเอ่าติดต่อกัน
เนื่องจากเมื่อครู่หลิงปู้อี๋รื้อเรือน ผนังอิฐนั้นถูกทุบทำลายไปกว่าครึ่งค่อน เกาทัณฑ์สองดอกนี้ของเหลียงอู๋จี้แซะก้อนอิฐที่ง่อนแง่นก้อนหนึ่งออกมาพอดิบพอดี ก้อนอิฐจึงหลุดร่วงกระแทกบนศีรษะเหลียงเอ่าเข้าอย่างจัง ทำให้นางหมดสติกับพื้นทันใด ไม่อาจส่งเสียงได้อีก
ใบหน้าเหลียงอู๋จี้ที่ไม่แสดงความรู้สึกเปี่ยมพลังอำนาจน่าเกรงขาม
ตอนนี้ฝูงชนค่อยจำได้ว่าใต้เท้าผู้นำสกุลซึ่งสุขุมเงียบขรึมของพวกตนท่านนี้ วัยหนุ่มก็เคยเป็นวีรบุรุษที่หาญกล้าไร้ผู้เปรียบในดินแดนหนึ่ง เพียงเพราะต่อมาเข้าสู่เส้นทางขุนนาง จึงได้ระวังเนื้อระวังตัวขึ้นทุกปี
เหลียงอู๋จี้ลดคันธนูอันทรงพลังในมือลง ก่อนมองไปทางหลิงปู้อี๋ “ข้าจะเข้าวังไปกับเจ้า เข้าเฝ้ารับผิดด้วยตนเอง”
หลิงปู้อี๋ตอบ “ดี”
* มีที่มาจากบทกวี ‘ดาวหนุ่มเลี้ยงวัวอันไกลโพ้น’ อ้างอิงตำนานเรื่องหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าซึ่งต้องพรากจากอยู่คนละฝั่งของทางช้างเผือก พรรณนาถึงความทุกข์ที่คู่รักมิอาจได้อยู่ร่วม แม้นธารดาราที่คั่นกลางอยู่จะดูคล้ายตื้นและใส แต่กลับอยู่ไกลกันสุดจะนับ
* ผลเหรินเซิน เป็นผลไม้เซียนในตำนาน มีรูปลักษณ์คล้ายโสมคน กินแล้วทำให้อายุยืน
* หมัวซี (โมเสส) แยกทะเลแดง เป็นเรื่องเล่าในคัมภีร์ไบเบิล เมื่อโมเสสนำพาชาวอิสราเอลหลบหนีการไล่ล่าของทหารอียิปต์ไปถึงทะเลแดง ด้วยศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า เขาชูไม้เท้าเลี้ยงสัตว์ของตนขึ้น ส่งผลให้ทะเลแดงแหวกออก กระทั่งชาวอิสราเอลข้ามฝั่งสำเร็จ ทะเลแดงจึงกลับมาบรรจบกัน กลืนกินกองทัพชาวอียิปต์
* จ้าวเซียงจื่อ (505-425 ปีก่อนคริสตกาล) คือผู้นำรุ่นที่เจ็ดของสกุลจ้าว ซึ่งเดิมเป็นสกุลใหญ่ในแคว้นจิ้นยุคชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นผู้นำพาสกุลหานกับเว่ยปราบปรามจื้อป๋อหัวหน้าขุนนางแคว้นจิ้น วางรากฐานให้สกุลจ้าวได้สถาปนาขึ้นเป็นแคว้นจ้าว หนึ่งในเจ็ดแคว้นใหญ่แห่งยุคจั้นกั๋ว (476-221 ปีก่อนคริสตกาล)
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.