ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 110
บทที่ 110
ระหว่างทางกลับวัง หลิงปู้อี๋อยู่บนหลังม้าอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก ท้ายที่สุดเขาก็อดกลั้นไม่ไหว มุดเข้ารถม้าของเฉิงเซ่าซางไปตรวจดูบาดแผลนางจนได้
เขาไม่หวั่นต่อการดิ้นรนและเสียงร้องนี่ๆ ของเด็กสาว เพียงประคองดวงหน้าเล็กๆ นั้นไว้แล้วจับหันไปมาเพื่อสำรวจดูถึงสองรอบ…หน้าผากปูดโน ผิวชั้นนอกตรงปลายคางถลอก เพียงแต่ล้วนไม่หนักหนาเท่ารอยช้ำที่ถูกเค้นบนลำคอ ครั้นม้วนแขนเสื้อขึ้น เขาก็พบว่าข้อศอกสองข้างของนางถูกกระแทกจนช้ำเขียว สันฝ่ามือทั้งสองมีแผลถลอกจำนวนมาก ไม่รู้บนขาจะเป็นเช่นไรบ้าง…
“นี่ๆ ท่านพอได้แล้วนะ! หยุดมือเดี๋ยวนี้!” เฉิงเซ่าซางใช้มือหนึ่งป้องสาบเสื้อ อีกมือหนึ่งเพียรกดชายกระโปรงกับขากางเกงไว้ “กลับไปแล้วข้าจะให้ไจ๋เอ่าดูเอง นี่ยังอยู่บนถนนนะ!” ขืนไม่ขัดขวาง เขาคงมาเปลื้องผ้านางแล้ว
หลิงปู้อี๋มองนางอยู่เนิ่นนาน “เจ้าจะไม่กลับบ้านก่อนจริงๆ น่ะหรือ”
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเฉิงเซ่าซางปั้นสีหน้าเจนโลก “ใต้หล้านี้…คาดว่ามีแต่ฮองเฮาที่จะไม่ดุว่าข้า ขืนข้ากลับบ้านไปสภาพนี้ ท่านพ่อท่านแม่รวมถึงพี่ชายทั้งสามได้บ่นข้าไปอีกครึ่งเดือน! เฮ้อ ไปหลบที่ตำหนักฉางชิวก่อนดีกว่า”
หลิงปู้อี๋แค่นเสียงฮึ “เจ้าก็รู้จักกลัวด้วย? เป็นเพราะปกติข้าดุว่าเจ้าน้อยเกินไป ถึงทำให้เจ้าใจกล้าเกินหญิงเยี่ยงนี้!” ตำหนิส่วนตำหนิ ถึงที่สุดเขายังคงลงจากรถม้า ขี่ม้าไปอยู่ข้างกายเหลียงอู๋จี้
ภายหลังลงจากม้าเข้าวังไป บุรุษทั้งสองก็เร่งตรงสู่สำนักราชเลขาธิการ ฮ่องเต้ได้ยินว่าบุตรบุญธรรมกับเหลียงอู๋จี้ขอเข้าพบ จึงสั่งให้คนรอบข้างถอยออกไปทันที รอจนฟังบุตรบุญธรรมเล่าเหตุพลิกผันในจวนสกุลเหลียงเมื่อครู่โดยสังเขปรอบหนึ่ง ฮ่องเต้ค่อยเอ่ยเสียงเยียบเย็นพลางมองเหลียงอู๋จี้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง “บังอาจนัก! จื่อเซิ่งบอกว่าจะจับเป็นเหลียงสยา ท่านเหลียงถึงกับกล้ายิงอีกฝ่ายตายในเกาทัณฑ์เดียว!”
เหลียงอู๋จี้โขกศีรษะ ไม่กล้าโต้แย้ง
ฮ่องเต้ยิ่งกริ้ว ตวาดเสียงดัง “กลัวว่าจื่อเซิ่งจับตัวเหลียงสยาแล้วจะถามได้ความอันใดหรือไร! เฉียบขาดเสียจริงนะ เมื่อก่อนเราไม่ยักมองออกว่าท่านเหลียงใจเหี้ยมได้เยี่ยงนี้…”
“ฝ่าบาท!” เหลียงอู๋จี้ร้องเรียกเสียงโศกสลด
เขาผ่อนคลายน้ำเสียง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เดิมสกุลเหลียงแห่งเหอตงของกระหม่อมมีบุตรหลานคับคั่ง ไม่เอ่ยถึงญาติสายลูกพี่ลูกน้อง ลำพังสายของท่านปู่ก็มีบุตรชายแปดหญิงหก แม้บิดากระหม่อมด่วนล่วงลับ ท่านลุงก็ยังคงมีพี่น้องอีกจำนวนมาก ทว่าสวรรค์หมายจะให้ผู้ใดล่มสลาย มักใช้โชควาสนาเล็กๆ น้อยๆ ทำให้คนผู้นั้นลำพองใจก่อน นับแต่มีโชคได้เข้ากุมอำนาจใหญ่ในราชสำนักสมัยของลี่ตี้ สกุลเหลียงก็เริ่มมีสมาชิกร่อยหรอลง
ก่อนอื่นต่อสู้กับสกุลชวีสิบกว่าปีจนเจ็บตายนับไม่ถ้วน ต่อมาพลอยฟ้าพลอยฝนในคดีรัชทายาทอิ่นบุตรชายคนโตของลี่ตี้ นับแต่นั้นก็ถูกคนในราชสำนักเจ็บแค้นกลั่นแกล้งไม่หยุดหย่อน ถัดมาใต้หล้าโกลาหลหนัก กลุ่มผู้กล้าพากันลุกฮือ สกุลเหลียงจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวได้อย่างไร รอจนถึงตอนที่กระหม่อมรับตำแหน่งผู้นำตระกูล ข้างกายถึงกับไม่เหลือคนร่วมสายเลือดที่ใช้การได้…ท่านอาสามคนไม่ทันแต่งงานให้กำเนิดบุตรก็ตายแล้ว ท่านอาอีกสองคนนำบุตรชายออกศึกต่างก็พลีชีพทั้งพ่อลูก ส่วนลูกพี่ลูกน้องที่เหลือที่เป็นบุรุษ หากมิใช่ถูกทัณฑ์ทรมานในคุกจนพิการ ก็คือร่างกายอ่อนแอด่วนตายจากไป”
สกุลเหลียงแห่งเหอตงรุ่งโรจน์เกือบร้อยปี ยิ่งใหญ่อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ได้ยินว่าปัจจุบันตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ฮ่องเต้จึงไม่แคล้วบังเกิดความสงสารเห็นใจ
“ปีนั้นกระหม่อมสวามิภักดิ์มาอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทแล้ว พอจะมีผลงานอันน้อยนิด ฝ่าบาทยังทรงถามเย้าว่าเหตุใดกระหม่อมจึงไม่ร้องขอให้อวยยศแก่พี่น้องบุตรหลาน กระหม่อมมีความขื่นขมไร้ที่ให้พูดระบาย หาใช่กระหม่อมชืดชาต่อลาภยศ ไร้ข้อเรียกร้องเสียเมื่อไร ความจริงเป็นเพราะ…เป็นเพราะ…”
เหลียงอู๋จี้หลั่งน้ำตา ร่างสั่นเทาฟุบลงที่เชิงบันได “เป็นเพราะในตระกูลไม่มีบุตรหลานที่หนุ่มแน่นใช้งานได้แล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ถอนใจยาว จับเข่าโน้มกายลง “ท่านลุกขึ้นมาก่อน นั่งพูดคุยกันดีๆ”
เหลียงอู๋จี้รับพระบัญชา ยืดกายขึ้นนั่งคุกเข่า ปาดน้ำตาแล้วเอ่ยสีหน้าจริงจัง “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่รู้เชียวหรือว่าเหลียงซั่งเหลียงสยาล้วนเป็นพวกตื้นเขินไร้ความสามารถ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน คนเยี่ยงนี้กระทั่งดูแลที่นาเรือนสวนก็ยังไม่คู่ควร! ทว่ากระหม่อมมีวิธีอันใดเล่า กระหม่อมใกล้ถึงวัยครึ่งร้อยแล้ว จึงได้แต่สู้ทนไปเช่นนี้ วาดหวังว่าคนรุ่นต่อไปจะมีบุตรที่เก่งกาจออกมาบ้าง…”
ฮ่องเต้ถอนใจเบาๆ อีกครา เหตุใดผู้คนมักชอบมีบุตรหลานกันมากๆ ก็เพราะบุตรหลานยิ่งมาก ความเป็นไปได้ที่จะมีคนเก่งก็ยิ่งสูง อย่างสกุลเหลียง…ในที่นาพันหลี่มีต้นกล้าแค่ไม่กี่ต้น จะคัดเลือกก็ไม่มีให้คัดเลือก คิดมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็เหลือบมองบุตรบุญธรรมด้วยแววตาอันลุ่มลึกยิ่ง
เมื่อแรกที่รู้ว่าบุตรบุญธรรมชอบพอบุตรสาวคนเล็กของเฉิงสื่อ พระองค์ก็ส่งคนไปสืบข่าว ปรากฏว่าชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของสกุลเฉิงล้วนไม่อาจทำให้พระองค์พึงพอใจ ต่อเมื่อได้ยินว่าเซียวซื่อมารดาของเด็กสาวมีบุตรมาก พระองค์จึงได้ลังเล
เซียวซื่อติดตามกองทัพมานานปียังให้กำเนิดบุตรชายได้ถึงสี่คน ทั้งแต่ละคนล้วนเลี้ยงออกมาแข็งแรงล่ำสัน มารดาของเซียวซื่อยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ได้ยินว่ามีบุตรชายตั้งเจ็ดแปดคน กล่าวกันว่าบุตรสาวสืบทอดมารดา…อืม ข้อนี้ดียิ่ง
หลิงปู้อี๋ถูกมองปราดหนึ่งโดยไม่รู้สาเหตุก็ให้ประหลาดใจ รู้สึกว่าแววตานี้ของบิดาบุญธรรมชอบกลอยู่บ้าง
“เรารู้ถึงความทุกข์ยากของสกุลเหลียง” ฮ่องเต้เอ่ยโดยไม่แสดงสีหน้า “ทว่าเกี่ยวอันใดกับคดีตรงหน้านี้กันเล่า รัชทายาทอยู่ดีๆ ก็ถูกดึงไปพัวพันจนชื่อเสียงเสื่อมเสีย ไม่ควรจับกุมเหลียงสยามาไต่สวนโดยละเอียดหรือไร! ท่านเหลียงกลับทำดีนัก ยิงเขาตายในเกาทัณฑ์เดียว ตัดสิ้นทุกเบาะแส หรือว่าเรื่องนี้ท่านลอบสมคบกับเขาด้วย?!”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาปราดเปรื่อง หากกระหม่อมลอบวางแผนเรื่องนี้ จะมีผลดีอันใดต่อกระหม่อมเล่า” เหลียงอู๋จี้เอ่ยปนยิ้มขื่น “สกุลเหลียงไร้ผู้สืบทอด เก็บตัวหลีกลี้เรื่องวุ่นวายแทบไม่ทันด้วยซ้ำ มีหรือจะย่างเข้าสู่วังน้ำวนเสียเอง ฝ่าบาท…” เขาพลันกดเสียงพูดให้เบาลง “เรื่องนี้หากสืบสาวต่อไป จริงอยู่สกุลเหลียงตกเป็นหนังหน้าไฟ ทว่ากับส่วนรวม…ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ผินหน้าหลับตา ก่อนโบกมือกล่าว “เรารู้แล้ว ท่านออกไปก่อนเถิด”
เหลียงอู๋จี้รู้ว่าฮ่องเต้เป็นผู้รู้เหตุรู้ผล บางคำพูดแค่บอกเป็นนัยก็เพียงพอ ดังนั้นจึงกล่าวขอบพระทัยแล้วถอยออกไปทันที