ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 111
หลิงปู้อี๋เลิกคิ้ว สื่อว่ากังขา
ใบหน้าเฉิงเซ่าซางฉาบด้วยความมั่นอกมั่นใจ “กลับไปแล้วข้าจะเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ แจกแจงลูกไม้ทำร้ายผู้อื่นของซุนซื่อให้ชวีฮูหยินรับรู้อย่างไม่มีตกหล่น! ถูกทำร้ายมาสิบปีเต็มๆ เชียวนะ ต่อให้ทำเพื่อระบายแค้น ชวีฮูหยินก็ควรต้องบุกกลับตำหนักบูรพาให้ได้! ถึงตอนนั้นให้ซุนซื่อได้เห็นว่าคู่อริในวันวานอยู่สูงกว่าลิบลิ่ว นั่นสิจึงจะหายแค้น!”
หลิงปู้อี๋เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หลายวันต่อมา ในที่สุดบิดากับพี่ชายของชวีหลิงจวินก็นำกำลังคนรุดเดินทางมาถึง ต้องบอกว่าพวกเขาดวงดีจริงๆ เมื่อแรกที่เพิ่งได้ยินข่าวร้าย พวกเขากลัดกลุ้มใจดุจถูกไฟแผดเผา ผลปรากฏว่าพอมาถึงเมืองหลวง กลับได้ยินเสียงโจษจันจากหัวถนนถึงท้ายตรอกว่า ‘ชวีฮูหยินช่างน่าสงสาร พี่น้องสกุลเหลียงแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำสกุล นางที่เป็นผู้บริสุทธิ์กลับต้องพลอยเดือดร้อน’ หรือไม่ก็บอกว่า ‘สกุลเหลียงเสียทีที่เป็นตระกูลขุนนางร้อยปี บุตรหลานกลับอกตัญญูเยี่ยงนี้’
วันนั้นตอนที่เหลียงสยาถูกปลิดชีพ ผู้คนที่รายล้อมทั้งในนอกมีสองร้อยกว่าคนเป็นอย่างน้อย นอกจากคนสกุลเหลียงแล้ว ยังมีครึ่งหนึ่งเป็นมิตรสหายกับตระกูลที่เกี่ยวดองกัน คนรอบจัดเหล่านี้รู้ดียิ่ง จงใจไม่เพิ่มการควบคุม ปล่อยให้พวกบ่าวเล่าลือสิ่งที่ได้เห็นในวันนั้นออกไป ข่าวใหม่ย่อมจะแทนที่ข่าวเก่า ตอนนี้จึงไม่มีใครคลางแคลงในความประพฤติของชวีฮูหยินอีก ยิ่งไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์รัชทายาทแล้ว
ผ่านไปอีกสองวันเฉิงเซ่าซางได้รับจดหมายที่ชวีหลิงจวินเขียนด้วยตนเองฉบับหนึ่ง ครั้นอ่านจบ นางก็ตกตะลึงจนถึงกับไม่อาจพูดจาชั่วขณะ
หลิงปู้อี๋ฉวยจดหมายไป มองเด็กสาวแวบหนึ่งอย่างขบขัน “เจ้าพูดไม่ถูกเลยสักประโยค ผู้ว่าการเหลียงจะไม่เดียวดายจนแก่เฒ่า ชวีหลิงจวินก็จะไม่บุกกลับตำหนักบูรพา”
เฉิงเซ่าซางหัวเราะแห้งๆ ดังแหะๆ สองที
เนื้อหาในจดหมายเรียบง่ายยิ่ง ใจความมีอยู่สามเรื่อง…เรื่องแรกเริ่มจากกล่าวขอบคุณเฉิงเซ่าซางที่ช่วงไม่กี่วันก่อนทุ่มเทแรงใจช่วยล้างมลทินให้นาง ทั้งบอกว่าตอนนั้นนางตกที่นั่งลำบากไม่อาจคำนึงถึงตนเอง บุญคุณนี้นางจะจดจารไว้ในหัวใจ
เรื่องถัดมาคือผู้ว่าการเหลียงได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ไม่ช้าจะออกเดินทางกลับไปเป็นผู้ว่าการมณฑลเดิมต่อ…ตอนที่อ่านมาถึงตรงนี้ เฉิงเซ่าซางชักรู้สึกถึงบางอย่างได้ตงิดๆ ไม่กี่วันก่อนชวีฮูหยินยังอยากปลีกตัวออกจากสกุลเหลียงอยู่เลย ท่านลุงเหลียงจะกลับไปรับตำแหน่งหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับหญิงม่ายสาวเช่นนางเล่า
เรื่องสุดท้ายเรียกได้ว่าเหมือนค้อนกระหน่ำตอก ชวีหลิงจวินเขียนมาว่า…จากการหารือร่วมกันของเหลียงกับชวีสองสกุล นางกำลังจะแต่งให้ผู้ว่าการเหลียงแล้ว ตอนนี้คลื่นลมยังซัดแรง ไม่เหมาะจะทำเอิกเกริก รอจนกลับถึงที่ว่าการมณฑลจึงค่อยจัดพิธีแต่งงาน มิผิด นางเองก็จะแต่งงานในช่วงแรกไว้ทุกข์แบบเดียวกับเหอเจาจวิน
เฉิงเซ่าซางมีสีหน้าทึ่มทื่อ ในหัวใจมีแต่ความงุนงง “นี่…นี่มันเป็นมาอย่างไรกัน”
หลิงปู้อี๋ค่อยๆ วางจดหมายคืนลงกล่องไม้เคลือบเงาอันประณีตซึ่งผูกด้วยเชือกไหม
เฉิงเซ่าซางกล่าวต่อ “ข้านึกว่าตบแต่งภรรยาม่ายของพี่น้องเป็นเรื่องที่มีแต่ในชนบทเสียอีก” เพื่อเลี้ยงดูทายาท รวมถึงหลีกเลี่ยงการแบ่งทรัพย์สิน เรื่องเช่นนี้ในหมู่ชาวบ้านมีอยู่ไม่น้อย ทว่าในตระกูลขุนนางเก่าแก่…
หลิงปู้อี๋ไม่เปล่งเสียงสักคำ
เฉิงเซ่าซางเอ่ยเสริม “ผู้ว่าการเหลียงอายุตั้งสี่สิบเจ็ดแล้ว ชวีฮูหยินเพิ่งจะยี่สิบหกเองนะ”
หลิงปู้อี๋ยังคงหลุบตา ไม่เอ่ยวาจา
เฉิงเซ่าซางจึงใช้นิ้วมือที่เรียวเล็กนิ้วหนึ่งจิ้มไปบนแก้มของเขา เขาก็พลิกมือมาหนีบหลังคออันอ่อนนุ่มของนางไว้ เคล้นไปคลึงมาดุจกำลังบีบนวดลูกแมว ส่วนนางบิดตัวเพียรดิ้นให้หลุดจากฝ่ามือใหญ่ของเขา
หลิงปู้อี๋เอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “เหลียงกับชวีสองสกุลยังไม่อยากให้ข่าวแพร่ออกไป แต่ถึงอย่างไรรัชทายาทก็ควรจะรับรู้ ตอนนี้…พวกเราสองคนใครจะไปพูดเล่า แล้วจะพูดอย่างไรดี”
สายตาของเฉิงเซ่าซางวนอยู่บนใบหน้าหลิงปู้อี๋สองรอบ ก่อนขยับตัวนั่งห่างออกไปหน่อย ใช้ภาษากายบ่งชัดว่าเผือกร้อนลวกมือหัวนี้นางไม่ยอมรับไว้แน่
หลิงปู้อี๋ผลิยิ้มทันตา
ต่อมาไม่รู้หลิงปู้อี๋ไปพูดกับรัชทายาทอย่างไร ได้ยินเพียงว่ารัชทายาทควบม้าแล้วพลาดตกลงมา จำต้องนอนพักรักษาขา เนื่องจากก่อนหน้านี้ชายารัชทายาทถูกกักตัวในเรือนอันสันโดษเพื่อ ‘พักรักษาอาการป่วย’ ฮองเฮาจึงได้แต่มาถามไถ่อาการบาดเจ็บของรัชทายาทด้วยตนเอง
หลังกลับมาจากตำหนักบูรพา ฮองเฮาดูอารมณ์หดหู่ เฉิงเซ่าซางจึงไถ่ถามว่ามีอันใดไม่สบายใจ ฮองเฮาก็ตอบว่า “สุดท้ายรัชทายาทยังคงทำผิดไป มิใช่ผิดที่รักษาคำมั่นแต่งงาน หากแต่ผิดที่จนแล้วจนรอดมองไม่ออกถึงการกระทำอันชั่วร้ายของชายาตน”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยปลอบโยน “คนข้างหมอนนะเพคะ มีหรือจะมองชัดได้ง่ายดายเช่นนั้น”
ฮองเฮาคลี่ยิ้มด้วยความจนใจ “แต่เขาเป็นรัชทายาท ว่าที่ประมุขแผ่นดินนะ จะไม่รู้จักมองคนได้อย่างไรกัน”
เฉิงเซ่าซางกล่าว “วาจามิอาจตรัสเช่นนี้ ในอดีตแม้แต่ฉินสื่อหวงก็มองเนื้อแท้ของจ้าวเกา* ไม่ออกมิใช่หรือ ยังหลงนึกว่าอีกฝ่ายเป็นบ่าวเก่าแก่ผู้ซื่อตรงภักดีด้วยซ้ำ ปรากฏว่าทันทีที่พระองค์สิ้นลม จ้าวเกาก็ก่อความวุ่นวายสารพัด! ฉินสื่อหวงทรงเก่งกาจถึงเพียงใดก็ยังมองพลาดไปเช่นกัน ฮองเฮาอย่าทรงตำหนิรัชทายาทรุนแรงเลยเพคะ”
“ใช่แล้ว” ในรอยยิ้มบางๆ ของฮองเฮาแฝงความเศร้าตรม “ดังนั้นรากฐานของฉินสื่อหวงจึงได้พังครืนในสองรัชสมัย”
เฉิงเซ่าซางขบคิด นางรู้สึกว่าสาเหตุการล่มสลายของราชวงศ์ฉินซับซ้อนยิ่ง ไม่อาจนับทั้งหมดไปที่ตัวบุคคลเพียงไม่กี่คน นางจึงปลอบโยนฮองเฮาต่อไป “ฮองเฮาเพคะ ดังคำกล่าวว่าผิดเป็นครู ผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว วันหน้ารัชทายาทย่อมรู้ว่าจะมองคนอย่างไร”
เห็นท่าทางมุ่งมั่นไม่ลดละของเด็กสาว ฮองเฮาก็ลูบเรือนผมนางอย่างอ่อนโยน “ขอให้เป็นดังที่เจ้าคิดหวังแล้วกัน”