วันสุดท้ายก่อนเดินทัพ หลิงอี้ลอบไปที่จวนของหลิงปู้อี๋ ตอนนั้นเฉิงเซ่าซางอยู่ด้วยพอดี พอเขาเห็นนางก็ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ฝ่าบาทไม่โปรดให้ข้ามาหาจื่อเซิ่ง เจ้าอย่าพูดออกไปเชียว”
เฉิงเซ่าซางค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อม ทว่าไม่ตอบคำแต่อย่างใด
หลิงอี้มอบเกราะอ่อนใยทองคำอันล้ำค่าชุดหนึ่งแก่บุตรชาย ก่อนย้ำกำชับ “ต้องแคล้วคลาดกลับมานะ ร่างกายสมบูรณ์ปลอดภัย สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด อย่าเลือดร้อนเสี่ยงภัยโดยง่าย อย่า…อย่าได้เป็นเช่นลุงของเจ้า…มีชีวิตอยู่สำคัญที่สุด มีแต่อยู่รอดจึงจะทำสิ่งที่เจ้าอยากทำได้!”
หลิงปู้อี๋ก้มหน้าฟัง ขานรับเป็นคำๆ จากนั้นบิดากับบุตรชายที่นั่งตรงข้ามกันก็ไร้วาจาใดๆ เนิ่นนานให้หลังหลิงปู้อี๋ค่อยเอ่ยปาก “รอจนข้ากลับมาหนนี้จะไปจวนเฉิงหยางโหวของท่าน วันปีใหม่คงไม่ทันแล้ว อาจจะเป็นวันหยวนเซียว…”
คิ้วตาของหลิงอี้อาบอิ่มด้วยความปีติ เอ่ยว่าดีเสียงระรัว แล้วหันไปบอกว่าที่ลูกสะใภ้ “เซ่าซาง ถึงตอนนั้นเจ้าก็มาด้วยกันนะ!” เขาเว้นวรรคเล็กน้อย “ฉุนอวี๋ซื่อจะไม่ออกมาแน่ หากยังมีใครไม่เกรงอกเกรงใจเจ้า เจ้าอยากจะพูดอันใดก็พูดได้เลย ไม่ต้องไปกลัว!”
ตอนที่หลิงอี้จะกลับ โอวหยางกวนพลันมาแจ้งข่าวด่วน เฉิงเซ่าซางจึงลุกขึ้นออกไปส่งหลิงอี้แทนหลิงปู้อี๋ ครั้นเดินไปถึงลานด้านหน้า หลิงอี้ก็พลันทอดถอนใจ “จื่อเซิ่งอุปนิสัยดื้อรั้น เจ้าหมั่นเกลี้ยกล่อมเขาที อย่าได้ฟังผู้อื่นยกยอว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุคก็ไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก เจ้าไม่เคยเห็นลุงของจื่อเซิ่ง เป็นบุคคลดุจเทพสวรรค์โดยแท้ กระนั้นธุลียังคงคืนสู่ธุลี ดินคืนสู่ดิน สูญสลายเช่นหมอกควันไปวันยังค่ำ”
เฉิงเซ่าซางพลันยืนนิ่งไม่เดินต่อ “สักวันหนึ่งทุกคนล้วนต้องเป็นธุลีคืนสู่ธุลี ดินคืนสู่ดิน ทุกคนจะต้องสูญสลายเช่นหมอกควันด้วยกันทั้งสิ้น! ทว่าสิ่งที่เคยกระทำจะไม่ดับสูญ คุณูปการที่ฝากไว้จะไม่ดับสลาย!”
หลิงอี้ตกตะลึงอยู่บ้าง ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอีกครา “อย่างนั้น…เจ้าหวังจะให้จื่อเซิ่งเป็นเยี่ยงนี้เช่นกันหรือ”
เฉิงเซ่าซางเป็นใบ้ไปทันใด
หลังมองส่งหลิงอี้จากไปแล้ว นางก้าวย่างเนิบนาบไปถึงสวนด้านหลัง ยืนเหม่ออยู่ใต้ต้นเหมยโบราณต้นหนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่หลิงปู้อี๋ตรงมาหานาง ยิ้มถามว่าเป็นอะไรไป เฉิงเซ่าซางพิศมองดวงหน้าหล่อเหลาของเขานานสองนาน ค่อยถอนใจกล่าว “ถ้าอย่างไรท่านลาออกจากการเป็นขุนนางเถิด ข้าจะเลี้ยงท่านเอง”
หลิงปู้อี๋แรกเริ่มตะลึงวูบ จากนั้นหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “อย่าไปฟังท่านพ่อข้า เป็นตายฟ้าลิขิตไว้แล้ว และข้าก็ยังใช้ชีวิตไม่พอด้วย”
เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ อุทานจากใจ “ถูกต้อง! เป็นตายฟ้าลิขิตไว้แล้ว ดังนั้นข้าจะแต่งงานใหม่แน่นอน”
หลิงปู้อี๋หน้าดำทะมึนทันตาเห็น “เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะรอดชีวิตกลับมาแน่!”
วันเดินทัพใหญ่ ท่านพ่อเฉิงมีสีหน้าไม่ชอบใจราวถูกคนเหนียวหนี้ไม่ยอมคืน หนนี้เขาถูกฮ่องเต้ส่งไปมณฑลหยางโจวตอนกลางถึงใต้ ร่วมกับแม่ทัพใหญ่หานรักษาการณ์เส้นทางหลายสายที่จำต้องผ่านจากเมืองโซ่วชุนลงใต้ เพื่อป้องกันโจรกบฏแตกพ่ายแล้วหลบหนีไป
ตั้งแต่หลายวันก่อน เฉิงสื่อก็เห็นบุตรสาวฮึดทำงานเย็บปักอยู่ตรงนั้น ต่อให้อาจู้จับจ้องไม่คลาดสายตา ก็ยังหวิดจะก่อตัวเป็นคดีเลือดนองนิ้ว เดิมนึกว่านี่บุตรสาวกำลังทำให้เขาอยู่ ต่อเมื่อภรรยาเตือนสติอย่างอ้อมค้อมว่าบุตรสาวหมั้นหมายแล้ว เขาค่อยรู้ตัวคิดว่าต่อให้เสื้อผ้าทำให้หลิงปู้อี๋ ถุงเท้ากำมะหยี่ก็น่าจะทำให้บิดาคนนี้กระมัง ใครจะรู้ว่าไม่มีส่วนของเขาแม้ส่วนเสี้ยว
จนกระทั่งจะออกเดินทางอยู่รอมร่อ บุตรสาวซึ่งยืนอยู่ข้างกายฮองเฮาก็ยังแอบมองแต่หลิงปู้อี๋ที่อยู่เบื้องล่างแท่นบัญชาการแม่ทัพนั้นโดยตลอด ไม่ได้เจียดแบ่งสายตามาให้บิดาผู้ชราสักแวบเดียว เฉิงสื่อจึงน้ำตานองอย่างห้ามไม่อยู่
กองทัพเคลื่อนตัวไปช้าๆ ผ่านเบื้องล่างของแท่นบัญชาการแม่ทัพ ตัดผ่านประตูเมืองออกไป ขณะนี้ดวงตะวันแขวนอยู่กลางฟ้า หลิงปู้อี๋กุมสายบังเหียนของอาชาพ่วงพี ขี่นำอยู่หน้าสุด แสงอาทิตย์เหมันต์สีทองอบอุ่นสาดปรกชุดเกราะสีดำของเขา ในท่วงทีอันแข็งแกร่งประเปรียวนั้นแผ่ซ่านซึ่งกลิ่นคาวโลหิตของผู้ผ่านสนามรบมา
เฉิงเซ่าซางเพ่งพิศเขาอยู่ตลอด หลิงปู้อี๋คล้ายสัมผัสได้ จึงพลันวกหัวม้าขี่ย้อนกลับมา พริบตาก็ถึงแท่นสูงอันเป็นที่ตั้งขบวนเกียรติยศของฮองเฮาข้างแท่นบัญชาการแม่ทัพ เฉิงเซ่าซางยังคงไม่เข้าใจสาเหตุ เพียงเห็นแขนยาวของหลิงปู้อี๋เหยียดออก มือซ้ายโบกขึ้นเบาๆ หนเดียว ภายใต้สายตาของฝูงชนมีสิ่งของเล็กๆ ชิ้นหนึ่งกรีดเป็นเส้นโค้งนิดๆ กลางอากาศ ตกสู่อ้อมอกของเฉิงเซ่าซางอย่างแม่นยำ
ฮ่องเต้ที่กำลังไปจากแท่นบัญชาการแม่ทัพเห็นแล้วเช่นกัน พระองค์ปั้นหน้าขรึม ทั้งอยากยิ้มทั้งอยากด่าคน หยวนเซิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังพระองค์เพียรข่มใจไม่ให้เหลือกตา ทว่าผู้อื่นกลับไม่มีการอบรมที่ดีเช่นนี้ เสียงหยอกล้อได้ผุดขึ้นรอบทิศแล้ว เหล่าทหารหลวงครึ่งหลังซึ่งขี่ม้าผ่านมาเห็นภาพฉากนี้ต่างพากันหัวเราะครื้นเครง
“แม่ทัพน้อยหลิงก็เป็นเช่นนี้ด้วยหรือนี่ คนเราดูกันแต่ภายนอกไม่ได้จริงๆ”
“แค่เดือนสามปีหน้า ไม่ต้องใจร้อนหรอก”
“ว่าที่ภรรยางามปานบุปผา ทำให้พวกข้าอิจฉาแทบตายแล้ว”
เฉิงเซ่าซางหน้าแดงดุจลุกไหม้ ฮองเฮาส่ายหัวผลิยิ้ม แม้แต่นางกำนัลขันทีรอบด้านก็พากันหัวเราะเบาๆ เฉิงเซ่าซางประคองห่อผ้ากำมะหยี่เล็กๆ ห่อนั้นไว้ ทุ่มสุดแรงเงยหน้าขึ้นโดยไม่อาจมัวขวยเขิน แลเห็นภายใต้หมวกเกราะกิเลนเหล็กสีนิล ชายหนุ่มเผยเพียงใบหน้าครึ่งซีกล่างอันขาวหมดจด คลับคล้ายโปรยยิ้มน้อยๆ มาให้นางหนหนึ่ง ก่อนจะกระตุ้นม้าห้อตะบึงจากไป