ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 112
เสียงหยอกเย้ารอบทิศยังไม่ขาดตอน เฉิงเซ่าซางก้มหน้าแสร้งทำเอียงอาย แท้ที่จริงมือกำลังรีบคลายห่อผ้ากำมะหยี่ออก เห็นด้านในมีเครื่องแขวนชิ้นหนึ่งทำจากทองคำขนาดเท่าอุ้งฝ่ามือ เป็นตัวพยัคฆ์ขนาดย่อมแลดูเคร่งขรึมเย็นชาตัวหนึ่งหมอบอยู่เหนือฐานเล็กสี่เหลี่ยม บนลำตัวของมันผูกร้อยเชือกไหมสีแดงเส้นหนึ่ง
“…นี่คือสิ่งใดกัน” นางเอ่ยอย่างกังขา
ฮองเฮาอมยิ้มตอบ “นี่คือตราส่วนตัวของจื่อเซิ่ง อืม นี่เขาจะฝากฝังทรัพย์สินในบ้านแล้วสินะ”
ครานี้กระทั่งลำคอของเฉิงเซ่าซางก็แดงจัดไปด้วย นางแบกรับแววตากระเซ้าเย้าหยอกของฝูงชน ทอดมองไปไกลจนสุดสายตานาง คล้ายกับว่าแม้แต่ประตูเมืองอันโอฬารที่เขาจากไปบานนั้นก็ยังเรืองระยับด้วยสีสันเปล่งประกายพาให้ห้องหัวใจหวั่นไหว
ภายหลังทัพใหญ่เคลื่อนพลไป เมืองหลวงก็คืนสู่ความเงียบสงบดุจเดิม วันเวลาผ่อนคลาย ข้างกายไม่มีเรื่องราวใด รุ่งขึ้นเฉิงเซ่าซางจึงไปเยี่ยมเยียนฮั่วจวินหวาที่เรือนดอกซิ่ง ปรากฏว่าได้พบสองพี่น้องสกุลชุยอีกครา
ชุยโย่วไม่ช่างพูด ผิดกับบุตรชายสองคนของเขาที่คล้าย ‘กลายพันธุ์’ ไปเสียอย่างนั้น ต่างก็มีลูกเล่นสารพัด กล่อมจนฮั่วจวินหวาเบิกบานไม่คลาย ประเดี๋ยวแสดงฉากสนุกที่สตรีบ้านนาทุบตีสามีอย่างสมจริง ประเดี๋ยวปีนขึ้นไปบนต้นไม้เตี้ยแล้วแสดงกระบวนท่า ‘นางแอ่นเหินวน’ ยอดวิชาประจำตระกูล ครั้นเห็นชุยต้าหลางเคลื่อนที่เหินวนบนกิ่งไม้อย่างแคล่วคล่อง เฉิงเซ่าซางก็โห่ร้องชื่นชมเสียงดัง
อาเอ่าทั้งตระหนกทั้งขบขัน โพล่งออกมาว่า “ชุยโหวใจกล้าจริงเชียว หากเปลี่ยนเป็นนายหญิงของข้า น่ากลัวว่าฟ้าถล่มดินทลายไปแล้ว เมื่อแรกตอนคุณชายยังเล็ก อย่าว่าแต่ปีนต้นไม้เลย กระทั่งที่สูงเล็กน้อย นายหญิงก็ไม่ยอมให้ไป”
เมื่อคิดได้ว่าหลิงปู้อี๋ก็เคยมีวัยเด็กอันงดงาม ในใจเฉิงเซ่าซางให้เสียใจแทนเขาอยู่บ้าง
ชุยต้าหลางคนพี่อวดฝีมือเสร็จ ชุยเอ้อร์หลางคนน้องก็รีบขอความดีความชอบจากพี่สาวคนสวย “เก่งกาจหรือไม่ เก่งกาจกระมัง นั่นเป็นกระบวนท่าที่ท่านปู่ข้าเรียนจากจอมยุทธ์พเนจรผู้หนึ่งด้วยเงินสองพันเฉียนเชียวนะ!”
เฉิงเซ่าซาง “…”
รอจนฮั่วจวินหวาไปนอนกลางวันแล้ว ชุยต้าหลางเช็ดเหงื่อไปก็เสนอความคิดแปลกๆ ให้เฉิงเซ่าซางไป “พี่เซ่าซาง ข้ามีความคิดหนึ่ง ท่านลองฟังดูนะ…แค่กๆ ได้ๆๆ ความคิดนี้เป็นข้ากับเจ้าร่วมกันคิดออกมา เจ้าไม่ต้องจิ้มข้า กลิ้งไปให้ไกลๆ”
ชุยต้าหลางออกแรงผลักไสน้องชายแล้วเอ่ยใหม่ “พี่เซ่าซาง พวกข้าพี่น้องมีความคิดหนึ่ง ท่านลองฟังดูนะ อย่างที่ท่านเห็น ท่านพ่อของพวกข้ากับฮั่วฮูหยินอายุอานามไม่น้อยแล้ว ปล่อยเวลาผ่านไปเช่นนี้น่าเสียดายเพียงใด พวกข้าสองคนเคยหารือกันนานแล้ว หากฮั่วฮูหยินหายป่วย นั่นย่อมจะดีที่สุดของที่สุด แต่หากป่วยไม่หายก็ไม่เห็นจะเป็นไร ถือเสียว่านางยังคงเป็นแม่นางน้อยฮั่ว ให้ท่านพ่อดูแลเอาใจสุดฝีมือ ส่วนพวกเราทุกคนคอยเป็นผู้ช่วย ไม่แน่ความมุ่งมั่นจริงใจอาจเจาะเหล็กศิลาได้สักวัน ‘แม่นางน้อยฮั่ว’ อาจจะตอบรับแต่งกับ ‘อาหยวน’ พี่ชายข้างบ้านก็เป็นได้!”
เฉิงเซ่าซางฟังจบ ถึงกับรู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง “ข้อนี้ข้าไม่เคยนึกถึงเลย ดูเหมือนว่า…มิใช่ทำไม่ได้ เพียงแต่ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะทำเช่นไร อาหยวนพี่ชายข้างบ้านจะมีบุตรชายจากที่ใดกัน!”
ชุยต้าหลางโพล่งออกจากปาก “ไม่เป็นไรขอรับ ข้ากับน้องชายสวมบทเป็นหลานต่อไปก็ได้!”
เฉิงเซ่าซางเอ่ย “เอ่อคือ…”
ชุยเอ้อร์หลางลิงโลดเป็นพิเศษ “หากท่านพ่อไม่ใช่ท่านพ่ออีกต่อไป อาจจะเคี่ยวเข็ญพวกข้าอ่านตำราไม่ได้แล้ว!”
ชุยต้าหลางเหลือกตาใส่น้องชาย “เลิกฝันเสียเถิด เป็นท่านอาก็ควบคุมหลานชายได้เหมือนกัน!”
มองดูพี่น้องที่เฮฮาฉลาดน่าเอ็นดูคู่นี้แล้ว เฉิงเซ่าซางก็หัวเราะจนท้องแทบแข็ง ผ่านไปครู่หนึ่งนางอดไม่ได้ต้องถามพวกเขาว่าเหตุใดจึงไม่ถือสาที่บิดาแท้ๆ กระวีกระวาดเอาใจสตรีอื่นเยี่ยงนี้ พวกเขาไม่กลัวว่าจะมีแม่เลี้ยงจริงๆ หรือไร
แรกเริ่มชุยต้าหลางอึ้งงัน จากนั้นยิ้มรับอย่างไม่ตะขิดตะขวงโดยสิ้นเชิง ท่าทางราวกับเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
เขากล่าวตอบ “ความจริงตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนก็มีพวกสารเลวถามคำถามนี้กับพวกข้าบ่อยครั้ง คนพวกนั้นไม่ประสงค์ดี พี่เซ่าซาง…ขอพูดคำอกตัญญูสักประโยค ข้ากับน้องชายลืมหน้าตาท่านแม่ไปตั้งนานแล้วล่ะ นับแต่จำความได้ก็มีแค่พวกข้าสามคนพ่อลูกพึ่งพาผ่านวันเวลามาด้วยกัน
ข้าหกล้มแขนเจ็บ ท่านพ่อขอยอมยกผลงานให้ผู้อื่นก็จะขอพาข้าไปต่อกระดูกกับท่านหมอเทวดา วัยเด็กน้องชายข้าร่างกายอ่อนแอ มีหนหนึ่งไข้ขึ้นจนสติเลือนราง ก็เป็นท่านพ่อไม่นอนหลับไม่พักผ่อน กอดเขาไว้ตลอดหลายวันหลายคืน บ้านข้าใช่ว่าไม่มีฟู่หมู่กับบ่าวรับใช้ แต่ท่านพ่อยังคงให้พวกข้าสองคนอยู่ข้างกาย ดูแลเองกับมือ ตระกูลชั้นสูงโดยทั่วไปจะมีบิดาสักกี่คนทำด้วยตนเองเช่นนี้ แค่จำวันเกิดบุตรธิดาได้ก็ไม่เลวแล้ว
ตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านพ่อไม่เคยทำผิดต่อนาง ตอนนี้ท่านแม่จากไปแล้ว พวกข้าพี่น้องก็ควรยึดถือความปรารถนาของท่านพ่อเป็นสำคัญ”
เฉิงเซ่าซางก้มหน้าลง พาให้ชุดกระโปรงปรากฏรอยชื้นหลายแต้ม ในใจดุจมีแสงตะวันอันอบอุ่นสาดฉาย
“ยังมีอีกนะ ยังมีอีก…” ชุยเอ้อร์หลางที่ตัวเล็กจ้อยกระเถิบเข้ามาพร้อมสีหน้าระรื่นตื่นเต้น “หากท่านพ่อกับพี่จวินหวา…เอ่อ ไม่สิ กับฮั่วฮูหยินลงเอยกันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นๆๆ พวกข้าก็จะสามารถกลายเป็นพี่น้องแท้ๆ ของพี่จื่อเซิ่งแล้วไม่ใช่หรือ!”
ชุยต้าหลางตบหน้าขาหนึ่งฉาด “มิผิด! รอจนพี่จื่อเซิ่งกลายเป็นพี่ชายแท้ๆ ของพวกข้า…หึๆ ดูซิว่าพวกสารเลวเหล่านั้นจะอิจฉาตาร้อนจนตายทั้งเป็นหรือไม่! ต่อไปพวกนั้นแต่ละคนล้วนต้องเชิดชูข้าเป็นลูกพี่ใหญ่ โขกศีรษะคารวะสุราอย่างว่าง่าย!”
เฉิงเซ่าซางหัวเราะพรืดจนน้ำตาเล็ด
เมื่อกลับถึงวังแล้ว เฉิงเซ่าซางเลียนอย่างคำพูดของพี่น้องสกุลชุยให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาฟัง ฮองเฮาสะท้อนใจอย่างยิ่ง “ชุยโหวสามพ่อลูกล้วนเป็นคนซื่อตรงจริงใจอย่างที่สุด มีคนในครอบครัวที่เป็นเช่นนี้ นั่นคือโชควาสนาที่แม้แต่ทองคำหมื่นชั่งก็ยังแลกไม่ได้จริงๆ”
ฮ่องเต้มองไกลไปนอกหน้าต่าง สีหน้าเลื่อนลอย ผ่านไปเนิ่นนานค่อยเอ่ยพึมพำ “…ปีนั้นอาหยวนห้อยอยู่บนหน้าผาไม่อาจลงมาได้ พวกเราได้แต่โยนเชือกไปช่วยเขา ระหว่างทางขากลับ อาหยวนฟุบบนแผ่นหลังของพี่ฮั่วชง ร้องไห้จนสะอื้นไม่หยุด เหล่านี้ราวกับเป็นเหตุการณ์เมื่อวานนี้เอง เฮ้อ พริบตาก็หลายสิบปีแล้ว วัตถุคงเดิม ผู้คนเปลี่ยนผัน อาหยวนบิดาผู้นี้เป็นได้ดียิ่ง”
ภายหลังฮ่องเต้ออกจากตำหนักไป ฮองเฮานั่งนิ่งอย่างหดหู่ เนิ่นนานจึงเอ่ยกับเฉิงเซ่าซาง “ข้าเคยได้เห็นแม่ทัพฮั่วชงหลายครั้ง อันที่จริงเขากับฮั่วฮูหยินหน้าตาละม้ายกันยิ่งนัก เขาองอาจเก่งกล้า อ่อนโยนเที่ยงธรรม ครั้งนั้นเขามาอำลาฝ่าบาทเพื่อออกเดินทาง วาจาของเขาในวันนั้น ข้าจดจำได้ทุกถ้อยคำ
เขากล่าวว่า…บัดนี้ฟ้าดินประดุจทะเลโลหิต ปวงชนทั้งมวลทุกข์เข็ญ ขอฝ่าบาททรงเดินหน้าบุกตีอย่างเต็มที่ สักวันหนึ่งแผ่นฟ้าจะสะอาดใส สี่สมุทรจะสงบร่มเย็น เมืองแห่งนั้นเขาจะรักษาไว้แทนฝ่าบาทเอง ขอเพียงมีเขาอยู่ ฝ่าบาทจะไม่มีวันถูกศัตรูขนาบตีหน้าหลังเป็นอันขาด
…นับแต่นั้น…เขาก็ไม่ได้หวนกลับมาอีก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.