นางไม่เคยขี่ม้า ตอนสัตว์ตัวใหญ่ใต้หว่างขาเริ่มเคลื่อนไหว นางตัวแข็งทื่อด้วยความประหม่า แต่ที่ทำให้นางประหม่ายิ่งกว่าคือการมีเขานั่งแนบชิดอยู่ข้างหลัง
นางไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษถึงเพียงนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขี่ม้าตัวเดียวกัน
แผงอกของเขาแนบติดกับแผ่นหลังของนาง ต้นขาแกร่งกำยำแนบชิดต้นขานาง
อุณหภูมิจากตัวเขาแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าและแทบจะลวกนางในพริบตา ทำเอาแผ่นหลังกับขานางร้อนกว่าเดิม
‘เพราะอะไร’ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง นางเลียริมฝีปากที่แห้งผากและถาม ‘เพราะอะไรท่านนั่งคร่อมได้ แต่ข้านั่งคร่อมไม่ได้’
‘สาวพรหมจารีในคืนวันเข้าหอจะมีบุปผาร่วง’
น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นข้างหูนางอย่างราบเรียบ ใกล้จนนางแทบรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา ดวงหน้าเล็กแดงเรื่ออีกครั้ง แต่ที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่าคือคำตอบของเขา
ก็ได้ เขารู้จริงๆ ด้วยว่านางเป็นสตรี เรื่องนั้นไม่มีอะไร เขาเคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสตรี เคยช่วยนางจากอันตราย เคยให้คำแนะนำกับนาง เขารู้แต่แรกแล้วว่านางเป็นสตรี
คำพูดเมื่อครู่นี้ของเขานางเข้าใจทั้งหมด ทว่าพอมารวมอยู่ด้วยกัน นางกลับฟังไม่เข้าใจ
นางขมวดคิ้วมุ่น อดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก สุดท้ายก็ระงับความสงสัยไว้ไม่อยู่ เอ่ยปากถามขึ้นมา
‘อะไรคือบุปผาร่วง’
‘เลือด’ สองมือของเขาวางอยู่บนต้นขา มือใหญ่จับเชือกบังเหียนไว้หลวมๆ ปล่อยให้ม้าเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ‘ส่วนนั้นตรงหว่างขาของสตรีมีเยื่อบางๆ ขวางอยู่ชั้นหนึ่ง ยามอยู่กับบุรุษครั้งแรก มันจะฉีกขาดและมีเลือดออก ครั้งแรกของสตรีทั่วไปมักเป็นคืนวันเข้าหอ ผู้คนเรียกเลือดที่เกิดจากเยื่อพรหมจารีขาดนั้นว่าบุปผาร่วง การนั่งคร่อมเวลาขี่ม้า บางครั้งอาจทำให้เยื่อบางๆ นั้นขาดได้โดยไม่ตั้งใจ’
ได้ยินดังนั้นนางก็ยิ่งตกใจกว่าเดิม ทั้งอับอายทั้งประดักประเดิด หากไม่เพราะจับอานม้าไว้แน่น นางคงตกใจจนร่วงตกจากหลังม้าเป็นแน่
นางไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงสามารถพูดเรื่องนี้ได้อย่างตรงไปตรงมาและกระจ่างแจ้งถึงเพียงนั้นโดยที่หน้าไม่แดง ลมหายใจไม่หอบ
เรื่องนี้ใครจะพูดออกมาเช่นนี้!
แม้แต่หญิงที่ออกเรือนไปนานแล้ว เกรงว่าแม้กระทั่งกับลูกสาวของตัวเองก็คงอายจนพูดไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาที่เป็นบุรุษ แต่เขากลับพูดออกมาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
จะว่าไปแล้ว บ้านเขาเป็นเจ้าของหอรับวสันต์ เขาจะรู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก แต่คนทั่วไปจะพูดออกมาแบบนี้หรือ
หัวใจนางเต้นรัว นั่งอยู่บนม้าหน้าแดงหูแดง ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สองเท้าอยู่ห่างจากพื้นมากเกินไปหรือทิวทัศน์เบื้องหน้า ล้วนถูกนางโยนทิ้งไปไกล
‘ท่านไม่ควรพูดเรื่องนี้กับข้า’ นางพยายามกล่าวอย่างสุขุมมั่นคง
‘เจ้าไม่ควรออกมาค้าขายข้างนอก’ เขาตอบตาไม่กะพริบ
นางพูดอะไรไม่ออก หูแดงยิ่งกว่าเดิม
ม้าก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ส่ายไปมาแต่ไม่สะเทือนเท่าไร นางมองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า ที่นาสองข้างทางและผืนป่าไกลออกไป ฟังเสียงเกือกม้าดังกุบๆ สะท้อนอยู่กลางสายลม
‘ข้าต้องการเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้นจึงต้องทำการค้า’ นางพูด
‘ข้ารู้’ เขาตอบ
ม้าเดินต่อไปข้างหน้า สายลมโชยพัดมาแผ่วเบา ปะทะใบหน้าร้อนซู่ของนาง
‘ขอบคุณท่านที่ไม่ได้บอกใคร’
‘โลกนี้มีสิ่งที่ไม่ควรมากมาย ล้วนเป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์กำหนดขึ้น’ เขาก้มหน้าลง เอ่ยปากเนิบช้าข้างหูนางอีกครั้ง ‘ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ทำลายไม่ได้’
หัวใจนางเต้นรัวอย่างไร้เหตุผล เพราะว่าเขาอยู่ใกล้เกินไป เพราะกลิ่นกายของเขา เพราะรู้สึกว่าริมฝีปากร้อนผ่าวคู่นั้นแทบจะสัมผัสถูกนางอยู่แล้วตอนเขาพูด
นางหน้าแดงหูร้อนขณะกลั้นหายใจ ชั่วขณะหนึ่งที่นางอยากหลบเลี่ยง แต่นางอยู่บนม้า มือทั้งสองของเขาวางอยู่ข้างกายนาง กุมเชือกบังเหียนและโอบล้อมนางไว้ นางจะหนีไปที่ใดได้เล่า
ไม่ต้องพูดถึงว่าหากเขาคิดจะทำอะไรนางจริงๆ แม้จะอยู่ในเมือง บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เกรงว่าเขาก็กล้าทำอยู่ดีและจะทำด้วย ไม่รอจนถึงป่านนี้
คิดเช่นนี้แล้วนางก็สูดหายใจลึก สงบสติอารมณ์ของตัวเอง
ตามคาด ชายหนุ่มข้างหลังยืดตัวตรงอีกครั้ง ไม่ได้แนบชิดหูนางอีก เพียงเอ่ยว่า
‘หมู่นี้การค้าไม่เลวหรือ ฝนตกเจ้ายังออกไปรับซื้อสินค้านอกเมือง’
‘ต้องขอบคุณคุณชายโจว’
เขาแค่นเสียงหัวเราะให้กับคำพูดนี้