นางไม่เคยเห็นชายผู้นี้แสดงอารมณ์ใดๆ มาก่อน ไม่ว่าพบกันตอนไหนเขาก็มักจะมีสีหน้าเรียบเฉย เสียงแค่นหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วยนั้นทำเอานางเกือบอดใจไม่อยู่หันไปมองเขา แต่ก็กลัวตกจากม้า จึงได้แต่จ้องมองไปข้างหน้า เอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ
‘เป็นความจริง’
‘อย่างไร’ เขาถาม
ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขาไม่เชื่อ นางจับอานม้าและตอบเขา
‘วันนั้นตอนยอดบุปผาล่องเรือไปตามคลอง บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่มารอดูเบียดเสียดกัน ข้าเห็นผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น ภาพของบุปผาปลิดปลิวกับสายน้ำที่ไหลผ่าน คนงามล่องไปในลำคลอง ผู้คนที่ได้พบเห็นเกรงว่าแปดชาติก็คงไม่ลืมเลือน ข้าพบว่าการทำการค้าต้องอาศัยสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยม กลับไปจึงให้คนเร่งทำถุงใส่เงินออกมา บนนั้นปักลายดอกท้อ เรือสำราญ คนงาม ขลุ่ยตี๋สีดำ สะพานเล็ก และสายน้ำ…’
‘ขลุ่ยตี๋สีดำ?’
นางชะงักไป ใบหน้าแดงเรื่ออีกครั้ง รู้สึกโชคดีที่เขาอยู่ข้างหลังและมองไม่เห็น
เขาเอ่ยปากช้าๆ
‘คนงามก็แล้วไปเถอะ แต่ปักขลุ่ยตี๋สีดำ ใครจะซื้อ’
‘ข้าให้คนทำของใช้สำหรับบุรุษและสตรี บุรุษเป็นถุงใส่เงิน สตรีเป็นถุงหอม’ นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง ‘ถุงใส่เงินที่ปักลายขลุ่ยตี๋สีดำขายดีมาก ในเมืองแห่งนี้บุรุษทุกคนล้วนอยากเป็นโจวชิ่ง จะได้ยืนอยู่ข้างหลังหลิ่วหรูชุน’
‘แสดงว่าเจ้าเอาข้ามาหาเงินหรือ’
ได้ยินดังนั้นนางก็พลันหัวใจสะดุด กลัวว่าเขาจะโกรธ ทว่าแม้เขาจะพูดเช่นนี้ น้ำเสียงกลับเจือแววขบขัน นั่นทำให้นางเอ่ยปากอย่างใจกล้า
‘ข้าให้คนปักขลุ่ยตี๋สีดำ หาใช่คุณชายโจว’
คำพูดนี้เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนข้างหลัง ทำให้นางกระดกมุมปากขึ้นอย่างไร้สาเหตุ พอผ่อนคลายลง นางก็นึกอยากหันกลับไปมองเขาในยามนี้โดยไม่มีเหตุผล
…แต่นางไม่กล้า
ด้วยเหตุผลที่นางเองก็อธิบายไม่ได้ นางไม่กล้า
ม้าก้าวเดินช้าๆ ไปข้างหน้า ส่ายไปมาจนนางเริ่มชิน
เนื่องจากจิตใจผ่อนคลาย ทิวทัศน์เบื้องหน้าจึงเปิดกว้าง นางมองเห็นภาพสะท้อนของภูเขาในท้องนา เห็นนกกางปีกบินผ่านไปอย่างรวดเร็วไกลออกไป เห็นกังหันน้ำหมุนอยู่ในคูน้ำ ตักน้ำเข้าไปในบริเวณที่สูงกว่า
ยามขี่ม้า ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะชัดเจนกว่าเดิม สามารถมองเห็นได้สูงและไกลยิ่งกว่าตอนอยู่บนรถเทียมลา
ในนาข้าวที่พื้นที่ถูกแบ่งเป็นช่องๆ ตัดกันไปมา ต้นข้าวสีเขียวทอดยาวไปตลอดสองฝั่ง พอลมพัดมาก็เกิดคลื่นสีเขียวเป็นระลอก
ก้อนเมฆลอยต่ำมาก คล้ายยื่นมือออกไปก็คว้าจับได้ แต่ฝนกลับไม่ตกลงมาเสียที
ท่ามกลางคลื่นสีเขียวนั้น เสียงทุ้มหนักแหบพร่าของเขาดังขึ้นอีกครั้ง
‘เจ้าไม่กลัวข้าหรือ’
นางอึ้งไป ขบคิดดูและตอบตามตรง
‘กลัว ย่อมกลัวอยู่แล้ว’
‘แล้วเหตุใดยังจะทิ้งกุญแจไว้ให้ข้า’
คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดถึงเรื่องนี้ ชั่วขณะนั้นนางเขินอายจนแม้กระทั่งนิ้วเท้ายังกลายเป็นสีแดง แต่นางมอบมันให้เขาจริงๆ และเขาก็รับไป
นางรู้ว่าที่เขาพูดถึง เป็นเพราะเขาใส่ใจ ดังนั้นแม้จะเขินอายเพียงใด นางก็ยังเอ่ยปากตอบเขา
‘เพราะโจวชิ่งที่ข้ารู้จักไม่เหมือนที่คนอื่นๆ พูดถึง’
ชายหนุ่มข้างหลังเงียบไป ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปาก
‘เจ้าชื่ออะไร’
นางคิดว่าตอนอยู่ในหอสุราเขาได้ยินแล้ว ตอนนั้นเขาอยู่บนบันไดและหยุดเดิน
‘เวินจื่ออี้’ นางทวนชื่อนี้เสียงแหบ
‘ไม่ใช่ชื่อนี้’ เขาก้มหน้าลงมาถามข้างหูนาง ‘บอกชื่อเจ้ากับข้า ชื่อจริงของเจ้า’
‘เวิน…’ หัวใจนางสั่นไหว ปากเนียนเผยอออกครึ่งหนึ่ง นางลังเลไปอีกครู่ สุดท้ายก็บอกชื่อจริงของตนออกไป ‘เวินโหรว…’
‘โหรวที่แปลว่าอ่อนนุ่มหรือ’ เขาถามต่อ
‘อืม…’ นางตอบเสียงแหบ
‘เวินโหรว’ เขาเอ่ยปากทวนคำ
ได้ยินชื่อของตนถูกเปล่งออกมาจากปากเขาแล้ว ไม่รู้เหตุใดหัวใจนางจึงอ่อนยวบอย่างไร้สาเหตุ
‘อืม’ นางหน้าแดงหัวใจเต้นรัวขณะพยักหน้ารับ
คล้ายว่าเขาพอใจแล้วจึงไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงพานางเดินทางต่อไปช้าๆ สายลมที่เจือไอเย็นพัดมา นางกลับรู้สึกว่าความอบอุ่นจากชายหนุ่มข้างหลังยังคงอยู่