นางไม่ควรทำแบบนี้เลยจริงๆ ทว่าตั้งแต่ตอนที่นางสวมชุดบุรุษและก้าวออกจากบ้าน นางได้โยนขนบธรรมเนียมทั้งหลายทิ้งไปหมดแล้ว
เหมือนเช่นที่เขาบอก เดิมทีนางไม่ควรอยู่ตรงนี้ ไม่ควรออกจากบ้านมาทำการค้า
‘ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ทำลายไม่ได้’
เขาพูดเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับ
นางทำลายกฎเกณฑ์ แต่เขาไม่ได้ตำหนินาง บางทีอาจเพราะเขาไม่เคยอาศัยอยู่ในกรอบประเพณีที่มนุษย์กำหนดขึ้นอยู่แล้วก็เป็นได้
ชายผู้นี้ยังบริหารดูแลหอรับวสันต์ด้วยซ้ำไป
หากให้ป้าชุ่ยรู้ว่านางกับเขาขี่ม้าตัวเดียวกัน เกรงว่าคงเป็นลมไปแน่
แม้นางจะอายุยี่สิบสามแล้ว แม้นางจะทำเรื่องผิดธรรมเนียมมากมาย ป้าชุ่ยก็ยังหวังว่านางจะได้แต่งงานกับคนดี ราวกับนางยังสามารถแต่งงานกับคนดีได้อย่างไรอย่างนั้น
นางเคยคิด แต่ตอนนี้กลับไม่คิดอีกแล้ว
หลังก้าวออกจากประตูบ้านและเริ่มทำการค้า นางก็ยิ่งไม่คิดถึงเรื่องนี้
ความรู้สึกยามได้ค้าขายและเจรจาการค้าดียิ่งนัก การหาเงินได้ด้วยตัวเองยิ่งทำให้นางรู้สึกมั่นคงปลอดภัย หากสถานการณ์ราบรื่น ไม่แน่ใช้เวลาไม่ถึงสามปี นางอาจซื้อบ้านหลังเล็กๆ ได้ ไม่ต้องคอยดูสีหน้าของหญิงผู้นั้นอีก ไม่ต้องแบมือขอเงินผู้อื่น
นางสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ เลี้ยงดูป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงได้ เลี้ยงดูลุงชิวกับลู่อี้ได้
ใครๆ ต่างบอกว่าเขาไม่ดี แต่นางรู้ว่าเขาเป็นคนดี
การนั่งอยู่บนม้าสูงสง่าตัวนี้ การที่เขามาส่งนาง ยิ่งทำให้นางแน่ใจเรื่องนี้
ตอนนางขึ้นม้า เขาถึงขั้นเตือนนางว่าอย่านั่งคร่อม ตอนนี้เขาให้ม้าเดินช้าถึงเพียงนี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับนาง แม้หลังจากที่เขาเตือนนางแล้ว นางยังคงนั่งคร่อม เขาก็ยังให้ม้าเดินช้าๆ อยู่ดี
นั่นเป็นความใส่ใจที่เขาไม่เคยพูดออกมา
แม้จะเอ่ยคำพูดนั้นออกมาแล้ว แม้จะรู้ว่านางละเมิดกฎเกณฑ์ ทำเรื่องผิดขนบธรรมเนียม แต่เขาก็ยังไม่ดูถูกนาง ยังคงให้เกียรตินางอย่างที่ควรจะเป็น
ม้าเดินไปข้างหน้าช้าๆ แต่เดินไปๆ สุดท้ายนางก็เห็นเส้นทางเล็กสายนั้น เห็นรถเทียมลาของตัวเอง ระยะทางหลายลี้ที่เมื่อครู่นางคิดว่าไกล ยามนี้กลับรู้สึกว่าช่างสั้นนัก
นางเห็นแต่ไกลว่าผู้ติดตามของเขาใช้ม้าช่วยลู่อี้กับลาตัวนั้นลากรถขึ้นมาจากแอ่งโคลนแล้ว
เห็นนางนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับเขา ลู่อี้เบิกตาโตและขมวดคิ้ว ชั่วขณะหนึ่งที่นางกลัวจริงๆ ว่าเขาจะปากมาก โชคดีที่ครั้งนี้เขาปิดปากแน่นสนิทอย่างรู้กาลเทศะเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น พอทั้งสองขี่ม้ามาถึงรถเทียมลา เขาก็หลุบคิ้วตา ก้มหน้าดูแลลาแก่ตัวนั้นโดยไม่เงยหน้ามอง
นางรู้ว่าลู่อี้เป็นห่วงนาง ครั้งก่อนถึงได้เอ่ยปากอย่างมากเรื่อง แต่ในฐานะบ่าว เขารู้ดีว่ายามใดควรพูด ยามใดไม่ควรพูด ประกอบกับเดิมทีเขาไม่ได้มีนิสัยพูดมากอยู่แล้ว
ม้าที่อยู่ใต้ร่างถูกชายหนุ่มข้างหลังบังคับให้เดินไปหยุดตรงหน้ารถเทียมลาไม่ไกลออกไปนัก
เดิมทีนางคิดจะลงจากม้าด้วยตัวเอง แต่ม้าตัวนี้สูงใหญ่มาก อีกทั้งชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังก็ลงไปก่อนแล้วและยื่นมือมาให้นาง
นางยกมือขึ้นโน้มตัวไปหมายจะจับมือเขา คิดไม่ถึงว่าเขากลับไม่สนใจมือของนาง รวบเอวนางและช้อนอุ้มนางลงมาจากม้า
เวินโหรวตกใจ ปากเล็กเผยอออกนิดๆ สูดหายใจอย่างตื่นตระหนก ดวงหน้าเล็กแดงก่ำทันใด
การกระทำของเขาช้ามากและอ่อนโยนยิ่ง
สองเท้าของนางแตะพื้นแล้ว แต่สองมือของเขายังอยู่บนเอวนาง อ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ความร้อนจากมือใหญ่คู่นั้นแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าและลวกผิวนาง ทำเอาหัวใจนางเต้นรัวเร็ว
เวินโหรวข่มกลั้นความอาย เงยหน้ามองเขา เห็นเขาหลุบนัยน์ตาสีดำลึกล้ำคู่นั้นจ้องมองนาง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น นิ้วโป้งไล้ผ่านใบหน้านาง เช็ดคราบโคลนที่เปื้อนหน้านางออกให้
เพราะอย่างนี้นางถึงจำได้ว่าหน้าตัวเองเปื้อนโคลนอยู่ ชั่วขณะนั้นใบหน้านางแดงก่ำกว่าเดิม
ในสายตาเขา นางต้องดูตลกมากแน่ๆ