ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ นางก็ใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเอง เวินโหรวรีบยกมือขึ้นหมายจะเช็ดหน้า แต่กลับรู้สึกว่าทำเช่นนี้ดูจงใจเกินไป จึงเปลี่ยนเป็นประสานมือแทน
‘ขอบคุณคุณชายโจว…’ นางพูด เนื่องจากทั้งสองอยู่ใกล้กันเกินไป ท่าทางของนางจึงดูประหลาดเป็นพิเศษ นางรีบถอยไปก้าวหนึ่ง โค้งกายและก้มศีรษะ จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณอีกครั้งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ‘ที่มีน้ำใจช่วยเหลือ’
คำพูดนี้ทำให้เขาแค่นหัวเราะออกมา
นางหลุบตาต่ำ แต่กลับเห็นกุญแจอายุยืนกับยันต์คุ้มภัยที่ห้อยอยู่ที่เอวเขา จึงรู้สึกเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง ไม่กล้ามองอีก ได้แต่ช้อนตาขึ้นอย่างเร่งรีบและเหยียดตัวตรง
นางลงจากม้าแล้ว ขอบคุณเขาแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้ากลับยังไม่จากไป เขายืนอยู่ตรงนั้น นางจึงไม่สะดวกที่จะหมุนตัวจากไป และไม่กล้าเงยหน้ามองเขาอีก ทั้งยังไม่กล้าหลุบตามองวัตถุสีเงินและสีแดงที่ห้อยอยู่ตรงเอวเขา ได้แต่จ้องตรงไปที่เสื้อผ้าด้านหน้าของเขา เอ่ยปากอย่างเกรงใจ
‘วันหน้าหากคุณชายโจวมีเวลา โปรดให้ผู้น้อยเลี้ยงข้าวท่านสักครั้ง’
‘ได้’
‘เอ๋?’
เดิมทีนางแค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้น ยังคิดว่าเขาคงปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าเขาจะรับคำ
ได้ยินดังนั้นนางก็อึ้งงันไป หันไปมองเขาอย่างตกตะลึง
‘วันเทศกาลตวนอู่* ข้ามีเวลา ยามบ่ายแล้วกัน ที่หออวลสุคนธ์’
‘หา?’ นางตะลึงงัน
‘ไม่สะดวกหรือ’ เขาเลิกคิ้ว
‘เอ่อ…’ นางมองเขาอย่างนิ่งงัน หน้าแดงเรื่อ ได้แต่ตอบว่า ‘ไม่…ไม่ได้ไม่สะดวก’
‘อย่าลืมพกถุงใส่เงินของเจ้ามาด้วย’ พูดจบเขาก็พลิกตัวขึ้นม้า เหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะปรายตามองลู่อี้ที่ยืนอยู่ข้างลาแก่คอยดูแลมัน จากนั้นก็กระตุกเชือกบังเหียนควบม้าจากไป
ผู้ติดตามของเขารีบรุดตามไป ทั้งสองควบม้ารวดเร็วประหนึ่งสายลม พริบตาเดียวก็ลับหายไปแล้ว
นางยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม ผ่านไปครู่ใหญ่จึงดึงสติกลับมาได้ ตอนนางหมุนตัวเดินกลับไปยังรถเทียมลา ลู่อี้กำลังมองนาง
‘ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรเชื้อเชิญเขา แต่ผู้อื่นช่วยเหลือเรา เชิญเขาไปกินข้าวเป็นการตอบแทนก็สมควรแล้ว’
ลู่อี้ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงตรวจสอบให้แน่ใจว่าเชือกบังเหียนถูกมัดแน่นหนาดีแล้ว ไม่หลวมจนอาจจะหลุด จากนั้นเขาก็ลูบๆ หลังลา กำลังจะพลิกตัวขึ้นรถ เขาก็หยุดเท้าแล้วถอนหายใจทีหนึ่ง หันไปมองเจ้านายของตนที่ปีนขึ้นรถเทียมลาจากข้างหลัง
‘เขาเป็นเจ้าของหอรับวสันต์’
นางชะงักไป เงยหน้าและเอ่ยปาก
‘ข้ารู้’
‘คุณชายผู้นี้ไม่ใช่พ่อค้าทั่วไป’
‘ข้ารู้’ นางตอบอีกครั้งโดยไม่กะพริบตา ‘แค่เลี้ยงข้าวขอบคุณเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นตอนกลางวัน ไม่มีอะไรหรอก’
ลู่อี้ขมวดคิ้วจ้องนาง ริมฝีปากหนาเผยอออกเล็กน้อยและหุบลงอีกครั้ง เขาไม่พูดมากอีก เพียงผงกศีรษะ ปีนขึ้นรถ นั่งลงตรงที่นั่งด้านหน้าแล้วกระตุกเชือกบังเหียนเบาๆ บังคับลาแก่ให้เดินไปข้างหน้า
เวินโหรวที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารด้านหลังหน้าแดงเล็กน้อย นางสูดลมหายใจลึกอย่างเงียบเชียบและค่อยๆ พรูลมหายใจออกมา
รถแล่นไปข้างหน้าช้าๆ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้า ไม่ได้คิดมากกับคำเตือนของลู่อี้ แต่เริ่มกังวลว่านางจะไม่สามารถรวบรวมเงินมาเลี้ยงข้าวชายผู้นั้นได้พอก่อนวันเทศกาลตวนอู่
หออวลสุคนธ์ตั้งอยู่ริมน้ำ ทิวทัศน์งดงาม พ่อครัวที่นั่นถูกเชิญมาจากเมืองหลวง กินข้าวที่นั่นหนึ่งมื้อใช้เงินไม่น้อยเลย
นางหวังเพียงว่าถึงเวลานั้นเขาจะไม่นึกสนุกสั่งอาหารจานใหญ่มาเต็มโต๊ะ กินจนนางขาดทุนย่อยยับ