คู่อุ่นไอร่ายรัก
ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่สี่
เทศกาลตวนอู่
ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส เมฆขาวลอยผ่านไปเป็นระยะ
หออวลสุคนธ์ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสือหูนอกเมือง เป็นอาคารสูงสามชั้น สามารถมองออกไปได้ไกลมาก ช่วงเทศกาลตวนอู่ในทะเลสาบยังมีการแข่งขันเรือมังกรที่คึกคักอย่างยิ่ง ปกติริมฝั่งจะเต็มไปด้วยผู้คน หออวลสุคนธ์ที่ทัศนวิสัยค่อนข้างดี พอถึงเทศกาลตวนอู่ยิ่งยากที่จะหาโต๊ะว่าง
ขณะที่นางกลุ้มใจว่าจะจองโต๊ะอย่างไรดีนั้น ผู้ติดตามของโจวชิ่งที่ติดตามเขาไปทุกที่เหมือนเงาตามตัวกลับมาหานางตอนนางออกมาทำการค้าข้างนอกและบอกว่าจองโต๊ะไว้แล้ว
นางได้แต่ด้านหน้าเอ่ยปากขอบคุณ
ผู้ติดตามคนนั้นชื่อโม่หลี เป็นชายฉกรรจ์อายุประมาณสามสิบกว่า ไม่ว่าโจวชิ่งจะไปที่ใด นางแทบจะเห็นเขาคอยตามอยู่ข้างหลังเงียบๆ เสมอ เหมือนเงาสายหนึ่งก็ไม่ปาน
เวลาเจอโม่หลี นางมักจะพยักหน้าให้เขา ถือเป็นการทักทาย
พอถึงเทศกาลตวนอู่ นางพูดแล้วพูดอีก พูดจนปากแทบฉีก จึงสามารถโน้มน้าวป้าชุ่ย ให้ป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงแต่งกายเป็นบุรุษออกไปชมความครึกครื้นที่หออวลสุคนธ์กับนาง ดูการแข่งเรือมังกร
ตั้งแต่ออกไปทำการค้าข้างนอก นางเปิดหูเปิดตาขึ้นมาก ความกล้าก็มีมากขึ้น ครั้งก่อนได้ชมความครึกครื้นริมแม่น้ำอวิ้นเหอ ความเจริญรุ่งเรือง ความงดงาม และบรรยากาศคึกคักที่อธิบายไม่ถูกแบบนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน เมื่อมีโอกาสจึงอยากให้ป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงได้สัมผัสความรู้สึกแบบนั้นบ้าง
ไม่มีเหตุผลที่บุรุษทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่สตรีกลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
แม้ว่าสตรีจะสามารถดูละคร ดูการแข่งเรือมังกรในเพิงที่จัดไว้โดยเฉพาะได้ แต่ก็ถูกปิดๆ บังๆ ไปซะทุกที่ ต่อให้จะดูจริงๆ ก็ไม่เห็นอะไรมากนัก
เดิมทีป้าชุ่ยไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายยังคงถูกนางโน้มน้าวจนได้
ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นคนจ่าย แม้เขาจะจองโต๊ะไว้แล้ว นางที่เป็นเจ้าภาพก็ยังต้องจ่ายเงินอยู่ดี นางมองเห็นความกังวลของลู่อี้ หลังคิดคำนวณดูแล้วนางจึงกัดฟันชวนทุกคนขึ้นไปกินข้าวที่หออวลสุคนธ์ด้วยกัน
เดิมทีนางอยากชวนลุงชิวไปด้วย แต่เขาบอกว่าความครึกครื้นเขาดูมามากพอแล้ว อยากอยู่เฝ้าบ้านมากกว่า นางจึงไม่บังคับฝืนใจ
พอถึงหออวลสุคนธ์ ลู่อี้กลับไม่ยอมขึ้นไปด้วย บอกว่าจะเฝ้ารถ
นางไม่โต้แย้งกับเขา คนผู้นี้บทจะดื้อขึ้นมา บางครั้งก็เหมือนวัวตัวหนึ่ง ดังนั้นนางจึงเข้าไปข้างในพร้อมกับป้าชุ่ยและอวิ๋นเซียงที่สวมชุดบุรุษ เดิมทีเวินโหรวคิดว่าเขาจองโต๊ะไว้ที่ชั้นสอง คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเอ้อร์จะเดินนำพวกนางไปยังห้องพิเศษชั้นสาม
ห้องพิเศษนั้นกว้างขวางและงดงามยิ่ง ใหญ่กว่าห้องพิเศษชั้นสองมาก ทิวทัศน์ตรงหน้าเปิดโล่งเกินคำบรรยาย มองจากตรงนี้ภูเขาที่ห่างไกลคล้ายกำลังยิ้ม ท้องน้ำกับผืนฟ้าบรรจบกันเป็นเส้นเดียว ทุกอย่างดูเหมือนอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า
แน่นอน เรือมังกรในทะเลสาบข้างล่างยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน
เรือมังกรหลายสิบลำปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรือแต่ละลำแขวนธงสัญลักษณ์สีสดของพ่อค้าแต่ละราย คนที่อยู่บนเรือแต่ละลำสวมเสื้อผ้าแตกต่างกันไป ศีรษะผูกผ้าคาดศีรษะคนละสี มีทั้งชุดดำคาดผ้าแดง ชุดขาวคาดผ้าเหลือง ชุดแดงคาดผ้าเขียว ชุดน้ำเงินคาดผ้าดำ เสื้อผ้าและธงมีรูปแบบและสีสันแตกต่างกันไป พวกเขาประกาศว่าตัวเองมาจากร้านค้าใด เป็นฝีพายของใคร คนที่นั่งอยู่ท้ายเรือตีกลอง คนที่นั่งอยู่หัวเรือโบกธง บางคนโบกไม้พายทักทายกับคนบนฝั่ง
นอกจากนี้ที่ริมฝั่งและบนถนนยังมีพ่อค้าแผงลอยน้อยใหญ่ขายขนมนานาชนิด คนขายซาลาเปา ขายขนมจ้าง ขายถังหูลู่ตะโกนเรียกลูกค้า ยังมีคนพายเรือลำเล็กขายกระจับที่นึ่งแล้วอยู่ริมน้ำ ควันสีขาวขมุกขมัวลอยขึ้นมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
ทันใดนั้นเสียงประทัดก็ดังมาจากถนนใหญ่ไกลออกไป คนที่ไม่รู้มาจากไหนถือหน้ากากอันใหญ่ประณีตโผล่ออกมาจากกลุ่มควัน สร้างความครึกครื้นบนถนนอย่างยิ่ง
‘ตายจริง นั่นอะไร’ ป้าชุ่ยทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว แต่กลับอดมองสัตว์ประหลาดที่โผล่ออกมาจากกลุ่มควันไม่ได้
‘นายท่านมาจากต่างถิ่นกระมัง นั่นคือการเชิดสิงโตขอรับ’ เสี่ยวเอ้อร์ยกชาร้อนมาให้หนึ่งกากับขนมหน้าตาประณีตอีกสามจาน ยิ้มพูด ‘ในเมืองของเรา พ่อค้ารายใหญ่ทั้งหลายจะแขวนโคมผูกสายรุ้งเมื่อมีเทศกาล และจ้างคนมาแสดงเชิดสิงโตเพื่อความเป็นสิริมงคล’
แม้ป้าชุ่ยจะมาจากเมืองหลวง แต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน จึงอดขยับไปนั่งข้างหน้าต่างไม่ได้ แม้แต่อวิ๋นเซียงที่สายตาไม่ดียังเดินไปที่ข้างหน้าต่างช้าๆ มองออกไปนอกราวกั้น
ผู้คนที่อยู่ริมฝั่งและบนทะเลสาบดูเล็กนิดเดียว ธงหลากสีโบกสะบัดไปมากลางสายลม
เดิมทีนางคิดว่าโจวชิ่งน่าจะมาถึงนานแล้ว แต่ในห้องพิเศษนี้กลับไม่มีคนอื่น
นางกำลังจะลงไปถามข้างล่าง เสี่ยวเอ้อร์ก็ก้าวเข้ามา ยิ้มบอกว่า
‘คุณชายท่านนี้ เมื่อครู่ท่านโม่ส่งคนมาบอกว่าคุณชายติดธุระกะทันหัน จะมาถึงช้าหน่อย เกรงว่าท่านจะหิว จึงให้พวกเราเตรียมอาหารไว้ก่อน เชิญท่านกับแขกของท่านลงมือก่อนเลยขอรับ’
เขาพูดพลางปรบมือให้สาวใช้ข้างหลังยกอาหารนานาชนิดเข้ามา นอกจากอาหารเย็นที่ใช้ผักและผลไม้แกะสลักเป็นรูปบุปผาสกุณาแล้ว ยังมีซี่โครงหมูน้ำแดง ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว ไก่ต้มราดต้นหอมผัดน้ำมัน เนื้อวัวหมักซีอิ๊ว ไก่ผัดพริก นางเห็นแล้วตาลายไปหมด ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร กำลังคิดว่าอาหารเหล่านี้ไม่รู้เป็นเงินเท่าไร นางยังไม่รู้ด้วยว่าเงินที่ตัวเองเตรียมมาพอจ่ายหรือไม่ จู่ๆ ก็มีคนยกพระกระโดดกำแพง* เข้ามาอีกโถ…
นางเห็นแล้ววิงเวียน ได้แต่บอกตัวเองว่าโชคดีที่พาป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงมาช่วยกินด้วย หากถึงเวลาเงินไม่พอจ่าย ถึงอย่างไรเงินไม่มี มีแต่ชีวิตเท่านั้น อย่างมากก็อยู่ล้างจานที่นี่แล้วกัน
ทางนี้อาหารยังยกมาไม่ครบ ด้านล่างจู่ๆ เสียงกลองก็ดังตึงๆๆ