คู่อุ่นไอร่ายรัก
ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่สี่
นอกหออวลสุคนธ์ซึ่งทำเลดีเยี่ยมเบียดเสียดไปด้วยผู้คน เรือมังกรลำแล้วลำเล่าลงสู่น้ำท่ามกลางการห้อมล้อมของผู้คน ผู้คนไม่เพียงแต่งองค์ทรงเครื่องตัวเอง ยังตกแต่งเรือมังกรด้วยสีดำ สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงินสลับขาว ไม่ว่าสีอะไรก็มีทั้งนั้น แม้แต่ลวดลายบนผืนธงยังหลากหลายมาก
หากไม่มีเงินก็ใช้พู่กันวาดลวดลายบนผืนผ้า หากมีเงินหน่อยก็ปักลายเสือ หมีดำ งูเหลือมลงบนธง มีคนปักลายเทพซานไท่จื่อ** เทพเอ้อร์หลางขนาดใหญ่ลงไปบนนั้นด้วยซ้ำ
เรือมังกรหลากสีสันถูกขนลงไปในน้ำ เรียงแถวอยู่ทางทิศตะวันออก ชายฉกรรจ์คนหนึ่งยืนอยู่บนแท่นลอยน้ำ อ้าปากประกาศเสียงดังกังวาน
เดิมทีนางคิดว่าคนผู้นั้นยืนอยู่ไกลถึงเพียงนั้น ใครจะไปได้ยินว่าเขาพูดอะไร
คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นจะเสียงดังทีเดียว เสียงพูดแผ่กระจายไปทั่วท้องน้ำ แม้จะอยู่บนฝั่งก็ยังพอได้ยินว่าเขากำลังชี้แจงกฎกติกาในการแข่งขัน
เสี่ยวเอ้อร์ไม่ลืมพูดเสริมอยู่ด้านข้าง
‘การชนะการแข่งเรือมังกรถือเป็นสิริมงคลกับพ่อค้ามาก คนถือธงกับพ่อค้าที่ได้รับชัยชนะจะโดดเด่นทีเดียว ไม่เพียงสามารถแขวนธงการค้าที่มีชื่อกิจการของตนในศาลเทพมังกรได้ตลอดทั้งปี เวลาออกไปไหนมาไหนยังมีสง่าราศี’
ศาลเทพมังกรนางรู้จัก ก็คือศาลเจ้าขนาดใหญ่ในเมือง ถนนการค้าในเมืองเริ่มต้นจากที่นั่น หากแขวนธงการค้าที่นั่นได้ย่อมมีหน้ามีตาโดยแท้
ทันใดนั้นกระแสผู้คนข้างล่างก็ส่งเสียงฮือฮาอีกครั้ง
นางเงยหน้ามองไป เห็นเรือมังกรสีขาวลำหนึ่งลงไปในน้ำ คนบนเรือสวมเสื้อและชุดคลุมสีขาวทั้งหมด กลองเป็นสีขาว ธงก็เป็นสีขาว แม้แต่ไม้พายที่ใช้ยังเป็นสีขาว
ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า เรือมังกรสีขาวที่มาทีหลังลำนั้นดึงดูดสายตาของทุกคน
ฝีพายทุกคนบนเรือมังกรยกมือขึ้นสะบัดไม้พายอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้เรือยาวแหวกน้ำแล่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมั่นคง ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของเรือมังกรสีขาวเป็นบุรุษรูปร่างกำยำที่สวมชุดคลุมสีขาว ท่วงทีผึ่งผายสง่างาม
ที่ทำให้นางตกใจคือธงผืนใหญ่ที่แขวนอยู่บนเรือมังกรลำนั้น ลวดลายที่ปักไม่ใช่ลายหมั่ง* สี่นิ้ว แต่เป็นลายมังกรห้านิ้ว ปกติแล้วมีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่สามารถใช้ลายมังกรห้านิ้วได้ แม้แต่ขุนนางก็ยังปักได้เฉพาะลายหมั่งสี่นิ้วเท่านั้น แต่บุคคลตรงหน้าผู้นี้กลับกล้าเสี่ยงข้อหาลบหลู่เบื้องสูง แขวนธงมังกรห้านิ้วกลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายเช่นนี้ เรื่องนี้หากมีคนรายงานไปที่เมืองหลวง ย่อมสามารถยัดเยียดข้อหากบฏที่มีโทษหนักถึงประหารชีวิตให้เขาได้
นายท่านที่สวมชุดคลุมสีขาวดูเหมือนจะไม่กังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาเอามือไพล่หลังยืนอยู่ตรงหัวเรืออย่างสุขุม มองผิวน้ำข้างหน้าราวกับใต้หล้านี้เป็นของเขา หาใช่ใครอื่น
แทบจะในจังหวะเดียวกับที่เห็นเขา ผู้คนบนน้ำและบนฝั่งต่างเงียบเสียงลง
คนที่ยืนอยู่ข้างหลังคนผู้นั้นมิใช่ใครอื่น เป็นโจวชิ่ง เขายืนอยู่ข้างหลังนายท่านผู้นั้นเงียบๆ อย่างสงบเสงี่ยม
ทันใดนั้นไม่ต้องรอให้เสี่ยวเอ้อร์อธิบาย นางตระหนักทันทีว่านายท่านผู้นั้นก็คือโจวเป้าผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง
เรือมังกรสีขาวแล่นไปข้างแท่นลอยน้ำ โจวเป้ากระโดดขึ้นไปบนแท่นลอยที่เตรียมโต๊ะทำพิธี โต๊ะกับเก้าอี้ไว้แล้ว
ด้านล่างของแท่นลอยกว้างขวางผูกถังไม้ลอยน้ำได้ไว้มากมายนับไม่ถ้วน ทำให้แท่นสามารถลอยอยู่บนน้ำได้อย่างมั่นคง พื้นที่กว้างขวางบนแท่นลอยไม่ต่างจากพื้นดิน
เรือของผู้ค้าและเถ้าแก่ใหญ่หลายคนที่มาร่วมการแข่งขันมารวมตัวอยู่ที่นี่แล้ว ครั้นเห็นโจวเป้ามาถึงก็ต่างพากันหลีกทาง โจวเป้าก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงด้านหน้าโต๊ะพิธี ด้านข้างมีคนส่งธูปให้ทันที โจวชิ่งตามมาเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เขาเป็นฝ่ายรับธูปมาก่อนจะส่งให้บิดา
เวินโหรวสังเกตให้ละเอียดถึงพบว่าคนที่ส่งธูปให้มิใช่ใครอื่น เป็นโม่หลีผู้ติดตามข้างกายเขานั่นเอง
โจวเป้าถือธูปจรดคิ้ว โจวชิ่งรับธูปที่โม่หลีส่งให้อีกครั้ง นายท่านทั้งหลายด้านข้างพากันถือธูปบูชาตาม แต่แน่นอนว่าธูปในมือโจวเป้าต้องเป็นธูปที่ใหญ่และหนาที่สุด เหมือนไม้กระบองอย่างไรอย่างนั้น
โจวเป้านำทุกคนหันหน้าไปยังท้องน้ำกว้างใหญ่ตรงหน้า บูชาเทพเจ้าแห่งสายน้ำ
หลังปักธูปแล้ว เขาก็เลิกชุดคลุมก่อนจะนั่งลงตรงตำแหน่งประธานบนแท่นลอยอย่างไม่เกรงใจ
โจวชิ่งไม่ได้นั่งลง เพียงก้มหน้าฟังชายคนนั้นพูด
นายท่านและผู้ค้าคนอื่นๆ ต่างนั่งลง ข้ารับใช้ด้านข้างยกชาร้อนกับขนมเข้ามาอย่างขยันขันแข็ง แต่นางสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าการกระทำของทุกคนบนแท่นลอยล้วนเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของโจวเป้า หากเขาก้มหน้าไม่มีใครกล้าเงยหน้า หากเขายังไม่นั่งไม่มีใครกล้านั่ง หากเขาไม่ดื่มน้ำชาก็ไม่มีใครกล้าอ้าปากจิบน้ำชาก่อนเลยจริงๆ
ไม่นานโจวชิ่งก็หมุนตัวกลับขึ้นไปบนเรือมังกรอีกครั้ง หยุดตรงหัวเรือซึ่งเป็นตำแหน่งประจำของคนถือธง
ทันใดนั้นนางพลันรู้ว่าวันนี้เขาจะเป็นคนชิงธงของเรือยาวลำนั้น
เดิมทีเขาไม่ได้คิดมาก่อน นางรู้ วันนั้นเขาบอกเองว่าวันนี้เขาว่าง แต่เห็นชัดว่ามีคนเปลี่ยนความตั้งใจ
นางได้ยินเสียงผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ เสียงซุบซิบเหมือนสายลม เพียงครู่เดียวถ้อยคำเหล่านั้นก็พัดจากแท่นลอยมาถึงฝั่ง ลอยขึ้นมาถึงข้างบน
‘ได้ยินว่าโจวเป้าต้องการให้โจวชิ่งเป็นคนชิงธง!’
‘การชิงธงไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชิงธงทั่วไปต้องฝึกฝนตั้งเท่าไร โจวเป้าต้อนเป็ดขึ้นคอน* กะทันหันเช่นนี้ โจวชิ่งจะไหวหรือ’
‘ช่วงเช้าแข่งไปหลายรอบแล้ว พวกที่เหลืออยู่ล้วนเป็นผู้ชนะในรอบแรก ฝีมือไม่ธรรมดา! หากโจวชิ่งแพ้มิต้องอับอายขายหน้าหรือ’
‘จะว่าไป ผู้ค้ารายอื่นๆ จะกล้าชนะหรือ’
‘ได้ยินว่าโจวเป้าประกาศว่าครั้งนี้ใครชิงธงเทพแห่งสายน้ำไปได้ เขาจะมอบยันต์คุ้มภัยให้สามปี สามปีนั้นไม่ต้องจ่ายเบี้ยรายเดือนเลยนะ!’
ได้ยินดังนั้นทุกคนพลันฮือฮา เสียงซุบซิบแผ่กระจายไปทั่ว