บทที่ 11
เมื่อกลับมาถึงที่ว่าการอำเภอ ฝ่ายห้องครัวก็กำลังตระเตรียมอาหารกลางวัน อวิ๋นอี่จึงใช้จังหวะนี้ไปจัดเก็บสัมภาระ
หมิงถานสังเกตเห็นว่าแม่นางชิงเหอผู้นั้นกำลังมองดูอาชาของพวกเขาอยู่ ดังนั้นจึงเดินเข้าไปชวนคุยว่า “แม่นางชิงเหอขี่ม้าเป็นหรือไม่”
“ไม่เป็น แต่ว่าข้าอยากจะเรียนมาตลอดเลย” ชิงเหอส่ายศีรษะ สีหน้าซื่อตรง
“เจ้าอยากเรียน? เช่นนั้นข้าสอนเจ้าได้พอดี”
“…คุณหนูขี่ม้าเป็นหรือ”
ชิงเหอเกาศีรษะ เอ่ยซักถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะน้องสาวของใต้เท้าตนผู้นี้ดูท่าทางน่าจะไม่เคยแตะต้องงานบ้านงานเรือนเลยด้วยซ้ำ ให้นางขึ้นหลังม้าดูท่าจะเป็นเรื่องยาก
“แน่นอน”
ก่อนหน้านี้หมิงถานได้รับการสั่งสอนชี้แนะจากเจียงซวี่ด้วยตนเอง ระหว่างทางหากนั่งอยู่ในรถม้าจนอึดอัดงุ่นง่าน นางก็จะออกไปขี่ม้าตัวเดียวกับเจียงซวี่บ้างเป็นครั้งคราว พร้อมกับถือโอกาสนี้รับคำสั่งสอนชี้แนะจาก ‘อาจารย์’ ถึงแม้จะขี่ได้ไม่มั่นคง แต่นางก็จดจำได้อย่างรวดเร็ว บัดนี้นางจึงจดจำความรู้เรื่องการขี่ม้าได้มากแล้ว
ด้วยเหตุนี้ยามเจียงซวี่กับหมิงเหิงผ่านมาก็เห็นว่าชิงเหอกำลังนั่งตัวโยกไหวอยู่บนหลังม้า หมิงถานคอยชี้แนะอยู่ข้างๆ อย่างเข้มงวด “ถูกต้อง เช่นนี้ล่ะ กำสายบังเหียนไว้ให้แน่น ยืดตัวตรง ต้องนั่งตัวให้ตรง ขาหนีบท้องม้าแน่น…”
“ท่านอ๋อง หมิงถานขี่ม้าเป็นด้วยหรือ ถึงได้สอนผู้อื่นได้” หมิงเหิงตื่นตะลึงตกใจ
เจียงซวี่ “…”
คนหนึ่งกล้าสอน คนหนึ่งกล้าเรียนจริงๆ
อาจเป็นเพราะหมิงถานเข้าใจความรู้ทางทฤษฎีการขี่ม้าได้อย่างถึงแก่นแท้ และอาจเพราะชิงเหอเข้าใจได้เร็ว ทั้งสองเรียนกันไปสอนกันมาเช่นนี้ แต่กลับไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้น
ไม่นานนักอวิ๋นอี่ก็เดินเข้ามา
อวิ๋นอี่มาจากหน่วยองครักษ์จินอวิ๋นอย่างแท้จริง ฆ่าคนได้ง่ายดายราวกับหั่นผักกาด การขี่ม้าจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง หมิงถานจึงยกหน้าที่ ‘อาจารย์’ ให้อย่างรู้จักประเมินความสามารถตนเองดี จากนั้นก็ปล่อยให้อวิ๋นอี่สอนชิงเหอแทน
ครั้นเห็นว่าชิงเหอมีความสนอกสนใจในการขี่ม้าจริงๆ หมิงถานจึงยกม้าตัวหนึ่งให้อีกฝ่าย
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ถึงแม้จะอาลัยอาวรณ์เพียงใดพวกเขาก็ยังต้องออกเดินทางต่อ โชคดีที่อีกแค่ปีเดียวหมิงเหิงก็จะได้กลับไปรายงานตัวที่เมืองหลวงแล้ว ดังนั้นยามเอ่ยคำร่ำลาจึงมิได้ถึงกับโศกศัลย์เศร้าสร้อยจนเกินไป
ก่อนจะจากลากัน หมิงเหิงยังมอบของเล่นเล็กๆ น่ารักๆ ให้หมิงถานหนึ่งกล่อง
“ของพวกนี้ข้าเสาะหาสะสมมาเกือบครึ่งปี เดิมทีตั้งใจว่าเดือนหน้าจะฝากคนส่งกลับไปเมืองหลวง แต่ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็เอาติดตัวไปด้วยเลยแล้วกัน จะได้เอาไว้เล่นแก้เบื่อระหว่างทาง”
“ขอบคุณท่านพี่”
ด้านในมีข่งหมิงสั่ว กลเก้าห่วงหยก ตุ๊กตาดินปั้นทาสีอันเล็กกะทัดรัดงดงาม นอกจากนั้นยังมีปิ่นปักผมประดับอัญมณีแวววาวระยิบระยับสะดุดสายตา ล้วนแต่เป็นรูปแบบแปลกใหม่ที่ในเมืองหลวงพบเห็นได้ยากทั้งสิ้น
เมื่อดูเสร็จกำลังจะปิดกล่อง สายตาของหมิงถานก็พลันเหลือบไปเห็นวัตถุสีดำตรงมุมกล่องที่ชวนให้มองข้ามได้อย่างง่ายดายชิ้นหนึ่ง นางนึกสนอกสนใจ จึงยื่นมือออกไปเขี่ยเบาๆ หยิบหยกสีดำที่อยู่ตรงมุมกล่องออกมา
หยกสีดำชิ้นนี้ผิวเนื้อเหมือนกับของที่นางเห็นในช่องใส่ของบนชุดของเจียงซวี่เมื่อเช้านี้เป็นอย่างมาก เพียงแต่รูปร่างแตกต่างกันเท่านั้น หยกชิ้นนี้มีทรงรี รูปทรงดูเหมือนหินไข่ห่านมากกว่า
“ท่านพี่ นี่คือสิ่งใดหรือ” นางหยิบขึ้นมาส่องใต้แสงอาทิตย์ ทว่าแสงกลับมิอาจส่องผ่าน
หมิงเหิงเอ่ยอธิบาย “อ้อ นี่เป็นหยกชนิดหนึ่งที่แคว้นเล็กๆ ชื่อว่าอูเหิง ซึ่งอยู่ทางดินแดนตะวันตกทำขึ้นมา ที่เรียกว่า ‘หยกอูเหิง’ เพราะมีสีดำสนิททั่วทั้งชิ้น เนื้อหยกก็แข็งแรงทนทานยิ่ง ถึงแม้อูเหิงจะทำหยกชนิดนี้ออกมาได้ แต่ว่าปริมาณก็มีน้อยนิด ข้าบังเอิญได้ชิ้นนี้มา เห็นว่าหยกสีดำหายาก คิดว่าเจ้าอาจจะได้ใช้ทำเครื่องประดับ ก็เลยวางเก็บไว้ในกล่องนี้”
หมิงถานได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ
หมิงเหิงนึกอันใดขึ้นมาได้ จึงกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “แต่ว่าเมื่อก่อนข้าก็เคยให้คนนำหยกนี้กลับไปให้เจ้าหนึ่งชิ้น เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ”
หมิงถาน “…”
มีด้วยหรือ หมิงถานนึกฉงนอยู่ชั่วครู่ แต่ก็เลิกคิดไปอย่างรวดเร็ว