กระวานน้อยแรกรัก
ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 11
ปิ่นปักผมประดับอัญมณีของนางมีมากมายนับไม่ถ้วน เครื่องประดับไข่มุกตะวันออกชั้นเลิศที่ลุงฝูมอบให้นางในนามของหอจินชั่วก่อนหน้านี้นางเปิดออกดูแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยังไม่เคยนำมาใส่เลยสักครั้ง
ในเมื่อพี่ชายพูดเช่นนี้ แสดงว่าก็คงจะมีกระมัง หากเป็นเช่นนี้การที่นางเห็นหยกของสามีชิ้นนั้นเมื่อเช้านี้แล้วรู้สึกคุ้นตายิ่งก็สามารถอธิบายกระจ่างได้แล้ว
หมิงถานมิได้คิดอันใดมากมาย หลังจากขึ้นรถม้าแล้วนางยังหยิบหยกอูเหิงชิ้นนี้มาโอ้อวดให้เจียงซวี่ดู มองสำรวจไปพลางพูดเจื้อยแจ้วไปพลาง “สามี หยกชิ้นนี้ดูแล้วน่าจะเหมือนกับหยกของท่านชิ้นนั้น เรียกว่า ‘หยกอูเหิง’ อันใดสักอย่างนี่ล่ะเจ้าค่ะ ท่านพี่บอกว่าเมื่อก่อนเขาก็เคยมอบให้ข้าชิ้นหนึ่ง มิน่าวันนี้พอข้าเห็นหยกของท่านแล้วถึงรู้สึกคุ้นตาเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านพี่คิดอันใดของเขากัน หยกดำเมี่ยมเช่นนี้แต่กลับเอามาให้ข้าทำเครื่องประดับ หญิงสาวบ้านใดจะใช้หยกสีดำทำเครื่องประดับบ้างเล่า ท่านพี่นี่ไม่เข้าใจหญิงสาวเอาเสียเลย…”
พูดไปได้สักพัก หมิงถานก็พลันชะงักนิ่ง
ประเดี๋ยวก่อน นางนึกบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว
เมื่อหลายปีก่อนดูเหมือนนางจะเคยได้รับหยกสีดำเมี่ยมเช่นนี้จริงๆ อีกทั้งตอนนั้นนางรู้สึกแปลกใหม่ ยังเคยนำหยกสีดำสนิทนี้มาทำเป็นเครื่องประดับจริงๆ เครื่องประดับที่ทำก็คือแผ่นหยกเล็กๆ เป็นเส้นยาวเหมือนกับอันที่อยู่ในช่องใส่ของของเจียงซวี่ ห้อยประดับไว้บนพู่ระย้าตรงเอว เอาไว้ประดับเล็กๆ น้อยๆ
หลังกลับมาจากเทศกาลย่ำขจีที่อารามหานเยียนเมื่อสามปีก่อน นางน่าจะเก็บพู่ระย้าอันนั้นลงกลอนใส่หีบไปพร้อมกับเสื้อผ้าเครื่องประดับที่เหลือเพราะรังเกียจว่าเป็นสิ่งอัปมงคล หลังจากนั้นก็ไม่เคยหยิบเอาออกมาใช้อีก
พอพูดถึงอารามหานเยียน หมิงถานก็อดนึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมามิได้
อารามหานเยียนสร้างขึ้นในเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน เป็นที่ศรัทธาของชาวพุทธมากมาย แต่ว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในคืนหนึ่งเมื่อสามปีก่อน เผาอารามจนวอดวายไปทั้งหลังไม่เหลือซาก ต่อมาผู้คนในเมืองหลวงจึงพากันปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นในอารามแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงอีก
หมิงถานจำได้ว่าเหตุเพลิงไหม้อารามหานเยียนเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลย่ำขจีพอดี
ในยามนั้นนางอายุสิบสามสิบสี่ ช่วงเทศกาลย่ำขจีนางได้ไปทัศนาจรชื่นชมมวลบุปผาพร้อมกับพวกคุณหนูในเมืองหลวง
อารามหานเยียนตั้งอยู่ในสถานที่วิเวกห่างไกล แต่เพราะขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในด้านการขอบุตร ต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมีคนลือออกไปว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอคู่ครองด้วยเช่นกัน
เด็กหนุ่มเด็กสาวเพิ่งแรกรู้จักความรักความใคร่มีความปรารถนาอันแรงกล้าต่อการขอคู่ครองอย่างไม่รู้ประสีประสา ดังนั้นจึงหมายมั่นจะออกจากเมืองไปยังอารามหานเยียนสักครั้งให้ได้โดยไม่สนว่าจะต้องเหนื่อยล้าลำบากลำบนเพียงใด
ในตอนนั้นหมิงถานได้หมั้นหมายกับเหลียงจื่อเซวียนแล้ว นางยังไม่เคยพบเจอโลกภายนอกมากนัก จึงพึงพอใจกับการหมั้นหมายในครั้งนี้มาก
ตอนที่ไปอารามหานเยียนนางก็ถือโอกาสไหว้พระขอพรให้การแต่งงานครั้งนี้ราบรื่นไร้อุปสรรค แต่ว่าพอไหว้พระเสร็จแล้วไปเสี่ยงเซียมซี นางกลับได้แต่เซียมซีเคราะห์ร้ายมหันต์ ทำเอานางโมโหโกรธาไม่เบา
เพราะเซียมซีใบนี้นางจึงหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ต่อมานางไปนั่งล้อมวงชมบุปผาเล่นประชันใบหญ้า* กับพวกคุณหนูทั้งหลายอยู่บนภูเขาหลังอาราม แต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นจิตใจให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้
หมิงถานจำไม่ได้เช่นกันว่าตอนนั้นคุณหนูบ้านใดอยู่ๆ ก็อยากจะเล่นว่าวขึ้นมา ลมพัดว่าวจนลอยสูงลิบห่างไกล คุณหนูผู้นั้นเอาแต่วิ่งไล่ตามไปข้างหน้า ดวงตาไม่คอยมองสังเกต เท้าก็ไม่คอยระวัง จึงเหยียบลงบนชายกระโปรงสีอ่อนของหมิงถานจนเป็นรอยเท้าหลายรอย
หมิงถานเคราะห์ร้ายโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว อารมณ์ของนางที่ไม่ดีอยู่เป็นทุนเดิมยิ่งกลายเป็นหงุดหงิดโมโหมากขึ้น
แต่ว่านางเองก็ไม่อาจโวยวายต่อว่าผู้อื่นเพียงเพราะเสื้อผ้าถูกเหยียบสกปรกได้ ทำได้เพียงแอบโมโหเดือดดาลอยู่ในใจเท่านั้น ทว่ายามสาวใช้พานางไปเปลี่ยนชุดในห้องรับรอง ก็มีคนมาเจอกับนางในตอนที่กำลังเกรี้ยวกราดเป็นฟืนไฟอยู่พอดี
นางเปลี่ยนเสื้อผ้าไปได้ครึ่งทาง ภิกษุในอารามก็เคาะประตูดังปึงๆ บอกว่ามีมือสังหารลอบเข้ามาในอาราม ขอให้นางเปิดประตูให้เข้าไปตรวจสอบ
ยามนั้นเพลิงโทสะในใจของหมิงถานก็พุ่งพรวดขึ้นมาทันที หาตัวมือสังหารแต่จะมาหาถึงห้องนาง พูดจาพล่อยๆ เช่นนี้คิดว่านางไม่อยากรักษาชื่อเสียงตนเองแล้วอย่างนั้นหรือ!
นางงัดหลักคุณธรรมจริยธรรมต่อว่าคนที่อยู่ด้านนอกไปหนึ่งยกใหญ่ ร่ายยาวทีละข้อหนึ่งสองสามสี่โดยที่ไม่หยุดพักหายใจแม้แต่เฮือกเดียว
ภิกษุที่อยู่ด้านนอกมองหน้ากันไปมา เรื่องสืบหาตัวคนมิอาจกระทำอย่างกระโตกกระตากได้ แขกผู้สูงศักดิ์ของอารามก็ไม่สามารถล่วงเกินผิดใจง่ายๆ ได้เช่นเดียวกัน หลังจากขบคิดตรึกตรองอยู่หลายรอบ สุดท้ายพวกเขาก็มิได้บุกเข้าไปด้านใน แต่เปลี่ยนไปตรวจหาที่อื่นก่อน
เพียงแต่ยามนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จกำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นก็พลันเหลือบไปเห็นว่าตรงมุมฉากกั้นมีรอยเลือดเป็นหยดๆ อยู่
หัวใจนางเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งหน หัวสมองว่างเปล่าขาวโพลนในทันใด ทั่วทั้งสรรพางค์กายแข็งทื่อไป เกือบจะขยับเดินไม่ได้ แต่เคราะห์ดีที่สุดท้ายนางก็ข่มกลั้นแข็งใจให้สงบเยือกเย็น ทำราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น เดินออกมาจากห้องรับรองด้วยฝีเท้าเชื่องช้า
เทศกาลย่ำขจีครานั้นช่างไม่ราบรื่นเอาเสียเลย หมิงถานทั้งโมโหทั้งหวาดกลัว รู้สึกแต่เพียงว่าอารามหานเยียนเต็มไปด้วยสิ่งอัปมงคลทุกหนทุกแห่ง เมื่อกลับมาถึงจวนนางก็นอนหลับไปพร้อมกับสภาพจิตใจที่สุดแสนจะย่ำแย่ แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าพอนางตื่นขึ้นมาก็ได้ยินข่าวว่าเมื่อคืนอารามหานเยียนเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ อารามทั้งหลังถูกเผาจนวอดวายไม่เหลือซาก
ที่ว่าการเมืองหลวงบอกกับภายนอกว่า ช่วงเทศกาลชิงหมิง* มีผู้เดินทางมาจุดธูปขอพรเผากระดาษเงินกระดาษทองมากมาย ก่อให้เกิดไฟไหม้ลุกลามเป็นไฟป่า อารามหานเยียนจึงประสบเคราะห์ไปด้วย
แต่ว่าเรื่องนี้มีพิรุธไปหมดทุกอย่าง หากบอกว่าเป็นไฟป่า ก็ไม่เห็นจะได้ยินว่ามีภูเขาลูกใดถูกไฟไหม้จนโล้นเตียน ทว่าเพลิงกลับไหม้แต่อารามเท่านั้น อีกอย่างบรรดาลูกศิษย์ลูกหาในอารามก็ตายและบาดเจ็บเพียงส่วนน้อย คนอื่นๆ ที่เหลือได้ถูกพาตัวไปยังอารามอื่นก่อนแล้ว
ตอนนั้นแม้หมิงถานอายุยังน้อย แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้สึกหวาดกลัวว่าเป็นเพราะตนเองปล่อยมือสังหารไป ถึงได้ทำให้อารามหานเยียนต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้
แต่ต่อมานางก็แอบไปรู้จากเผยซื่อว่าที่อารามหานเยียนประสบเภทภัยในคราวนี้หาใช่เหตุไม่คาดฝันไม่ แต่เป็นเพราะเบื้องบนมีรับสั่งให้จัดการกวาดล้างต่างหาก
ดูเหมือนว่าภิกษุบางรูปในอารามหานเยียนจะก่อเรื่องชั่วช้าน่าอับอายบางอย่างขึ้น
รายละเอียดที่แน่ชัดเผยซื่อมิได้เล่าให้ฟังมากนัก คงเกรงว่าอาจจะแสลงหูของหมิงถานเข้า แต่ว่าปีนั้นในเมืองหลวงมีฮูหยินหลายบ้านค่อยๆ ทยอยพากันผูกคอฆ่าตัวตาย บ้างก็เจ็บป่วยตายไปกะทันหัน มิหนำซ้ำฮูหยินเหล่านั้นยังเคยไปขอบุตรจากอารามหานเยียนจนได้สมปรารถนาอีกด้วย
เมื่อปะติดปะต่อสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน กอปรกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันคลุมเครือที่ได้ยินเป็นครั้งคราวในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด หมิงถานก็พอจะคาดการณ์อย่างใจกล้าว่าในอารามหานเยียนนั้นคงจะมีภิกษุปลอมมั่วโลกีย์อยู่ ที่ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องขอบุตรก็คงจะเป็นแค่การหลอกล่อเพื่อให้ได้เสพสำราญก็เท่านั้น
ต่อมาหลังจากนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าในครอบครัวของฮูหยินที่ตายไปเหล่านั้น เด็กที่เกิดมาล้วนทยอยตายไปตั้งแต่ยังเล็กด้วยเหตุผลต่างๆ นานาโดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่คนเดียว แต่มีเพียงครอบครัวหนึ่งที่บอกว่าบุตรของตนเองร่างกายอ่อนแอ ต้องส่งไปพักรักษาตัวที่บ้านเดิมในเจียงหนาน* จนกระทั่งถึงบัดนี้ก็ไม่มีข่าวคราวอันใดอีกเลย นี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์การคาดการณ์ของนางว่าเป็นความจริงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ว่าอย่างไรการคาดการณ์ก็เป็นเพียงความคิด ในเมื่อเบื้องบนไม่อยากจะเปิดเผยให้ราษฎรได้รับรู้ ผู้คนก็ไม่อาจล่วงรู้ได้โดยง่าย นางรู้แค่ว่าเคราะห์ภัยที่เกิดขึ้นในอารามหานเยียนไม่ใช่ความผิดของนางก็พอแล้ว
หมิงถานจมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ นางนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ เจียงซวี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “กำลังคิดอันใดอยู่หรือ”
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” หมิงถานได้สติกลับคืนมา นางส่ายศีรษะทันที “จริงสิสามี ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่า หยกอูเหิงชิ้นนี้เคยช่วยชีวิตท่านไว้?” นางสนใจใคร่รู้เรื่องนี้ยิ่งกว่า
เจียงซวี่เอ่ย “อืม” ขึ้นมาหนึ่งเสียง “ตอนตียึดอวี๋โจวคืนเมื่อสามปีก่อน มีศึกหนึ่งรบยากลำบากยิ่ง รอดจากสนามรบมาได้ก็ยังถูกตามไล่ล่า เกราะป้องกันหัวใจก็แตกไปแล้ว มันได้ช่วยสกัดธนูอาบยาพิษให้ข้าติ้งเป่ยอ๋องไว้ครั้งหนึ่ง”
หมิงถานเข้าใจกระจ่างขึ้นมาทันใด นึกถึงที่พี่ชายบอกว่าหยกชนิดนี้แข็งแรงทนทานยิ่งขึ้นมาทันที