บทที่ 14
อวิ๋นอี่ผงะอึ้งไปเล็กน้อย “เข้าไป?” นางกลัวว่าตนเองจะเข้าใจความหมายผิดเพี้ยนไป จึงจงใจมองไปทางร้านเซียนเฉวียนที่เพลิงลุกไหม้แวบหนึ่งเป็นพิเศษ “พระชายา…เข้าไปตอนนี้ก็อันตรายนะเจ้าคะ ท่านไปก็ทำอันใดไม่ได้ อีกอย่าง ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นกับนายท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ข้าต้องเข้าไปดูให้ได้”
“ขออภัยที่บ่าวไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่ง นายท่านบอกว่า…”
“ในเมื่อสามีส่งเจ้ามาคุ้มครองข้า เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนของข้า” หมิงถานพูดตัดบทอย่างรวดเร็วฉับไว “ข้าเองก็จำได้ว่าสามีเคยบอกว่าหน่วยองครักษ์จินอวิ๋นไม่รับใช้สองนาย ตกลงยามนี้ใครเป็นเจ้านายของเจ้า เจ้าฟังคำสั่งใครกันแน่”
อวิ๋นอี่ฟังจนมึนงงไป สัญชาตญาณบอกว่ามีบางอย่างแปลกพิกล แต่นางก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าแปลกตรงที่ใด
หมิงถานมองไปรอบด้านอีกครั้ง เอ่ยเพิ่มเสียงดังขึ้นกว่าเดิมว่า “ยังมีองครักษ์ลับอีกสองคนมิใช่หรือ คนเล่า ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับท่านอ๋อง ปกป้องข้าไปจะมีประโยชน์อันใด!”
รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงระลอกคลื่นในน้ำขยับไหวแผ่วเบา
อวิ๋นอี่กำลังถูกคำพูดของหมิงถานทำให้สับสนงุนงง ไม่มีใครคาดคิดว่าหมิงถานกลับฉวยโอกาสตอนที่นางไม่ทันระวัง ยกชายกระโปรงขึ้นมาวิ่งจ้ำอ้าวไปยังเรือเล็กที่จอดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลำนั้น
นางกัดริมฝีปาก ออกแรงแกะเชือกให้คลายออก อีกทั้งยังหยิบไม้พายออกมาอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ทำท่าทางเหมือนจะพายเรือออกไปด้วยตนเอง
อวิ๋นอี่เห็นดังนั้นก็รีบทะยานร่างขึ้นไปบนเรือ แย่งไม้พายมาจากในมือของหมิงถาน
หมิงถานรู้ว่าตนเองคงพายไปไม่ไหวเป็นแน่ จึงเจตนาวางแผนหลอกอวิ๋นอี่ขึ้นเรือ
ครั้นเห็นอวิ๋นอี่ขึ้นมาบนเรือแล้ว ขอบตาของหมิงถานบทจะแดงก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันที สุ้มเสียงพลันอ่อนลงเช่นกัน กล่าวเสียงแผ่วเบา ทั้งยังดึงชายเสื้อของอวิ๋นอี่เอาไว้แน่น “อวิ๋นอี่คนดี พาข้าไปเถิด ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรแน่นอน”
อวิ๋นอี่ “…”
ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่นางเห็นพระชายาของตนเองร้อนใจถึงเพียงนี้ ร้อนใจจนหยาดน้ำตาก็อาจจะหยดแหมะลงมาได้ในเสี้ยวพริบตาราวกับเด็กน้อยที่อดได้ลูกอม
ไม่รู้เพราะเหตุใด ก้นบึ้งหัวใจที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกมานานปีของอวิ๋นอี่กลับเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาเบาๆ
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เป่าปากส่งสัญญาณขึ้น
องครักษ์ลับที่คอยเฝ้าอยู่ในมุมมืดมาตลอดปรากฏตัวขึ้นในที่สุด ทะยานแตะผิวน้ำอย่างเงียบเชียบ โผลอยขึ้นเรือลำน้อย
อวิ๋นอี่เอ่ยกำชับว่า “พระชายา ท่านห้ามเข้าใกล้เรือสำราญเด็ดขาด ต้องอยู่แต่บนเรือนี้เท่านั้นนะเจ้าคะ”
ขอแค่อวิ๋นอี่ยอมพานางไป ยามนี้จะให้นางทำอันใดก็ได้ทั้งสิ้น นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟังว่าง่าย เอ่ยรับรองอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ “ข้าจะอยู่แต่บนเรือเท่านั้น จะไม่เอาตนเองไปเสี่ยงอันตรายแน่นอน”
ขอให้เป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน
อวิ๋นอี่ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่
ไม่นานนักเรือลำน้อยก็พายออกมาจนถึงกลางแม่น้ำ
ห่างออกไปไม่ไกล เปลวเพลิงได้ลุกลามไปยังเรือสำราญลำอื่นๆ แล้ว ส่วนเพลิงที่ร้านเซียนเฉวียนกลับมอดดับไปแล้วกว่าครึ่ง เรือสำราญถูกเผาไหม้จนบ้างก็จมบ้างก็พังถล่ม มีเสาคานและซากศพที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมไม่น้อยลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ กลิ่นต่างๆ ผสมปนเปคละคลุ้ง ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
กองทหารดับเพลิง กองกำลังป้องกันเมือง รวมไปถึงทหารของที่ว่าการเมืองกำลังทำการค้นหาอยู่บนซากเรือที่มีควันดำลอยพวยพุ่งออกมาเหล่านั้น เมื่อเจอศพถูกเพลิงไหม้ก็จะแบกขึ้นฝั่งทีละศพๆ
“พวกเจ้ารีบไปหาดูเร็วเข้า” หมิงถานรีบหันไปทางเงาร่างดำมืดสองสายที่อยู่ท้ายเรือ
เงาร่างดำมืดสองสายนั้นเชื่อฟังคำสั่งยิ่งนัก พวกเขาพยักหน้าเล็กน้อย แตะเท้าลงบนผิวน้ำอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะทะยานร่างไปยังซากเรือสำราญ
เรือสำราญของร้านเซียนเฉวียนล้วนสร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าหรูหราเป็นอย่างมาก ลำที่เตี้ยที่สุดยังมีถึงสองชั้น ส่วนลำที่สูงที่สุดมีเกือบห้าชั้น ถึงแม้จะถูกไฟไหม้จนจมไปไม่น้อย แต่การเสาะหาบนเรือสำราญที่เหลืออยู่ก็ยังต้องใช้เวลามากพอสมควร
ผ่านไปครึ่งเค่อแล้วยังไม่เห็นคนกลับมา หมิงถานก็เริ่มจะทนรอไม่ไหว ข่าวลือและจินตนาการเกี่ยวกับสกุลซู่ที่อยู่ในสมองของนางถูกขยายใหญ่ให้เกินจริงอย่างไร้ที่สิ้นสุด ภาพยามที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับสามีก่อนหน้านี้ก็ซ้อนทับร้อยเรียงเข้าด้วยกัน
นางหันกลับไป เริ่มเอ่ยต่ออวิ๋นอี่ “เพลิงตรงร้านเซียนเฉวียนมอดไปเกือบหมดแล้ว พวกเราเองก็ไปช่วยหาคนเถิด”
“พระชายา ท่านรับปากบ่าวแล้วว่าจะไม่ลงจากเรือ จะไม่เอาตัวไปเสี่ยงอันตราย”
“เพลิงมอดไปเกือบหมดแล้ว ไม่อันตรายหรอก” ตอนนี้อยู่ห่างจากร้านเซียนเฉวียนไม่มากนัก นางจึงเอ่ยพลิกลิ้นทันทีว่า “ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าไป ข้าก็จะว่ายไปเอง”
อวิ๋นอี่ “…”
คำรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะเมื่อครึ่งเค่อก่อนนางหลงเชื่อเสียเปล่าจริงๆ