แต่ในเมื่อหมิงถานทั้งตอแย พลิกลิ้นก็พลิกแล้ว อวิ๋นอี่จนปัญญา จึงทำได้เพียงต้องคุ้มครองหมิงถาน ให้นางได้ขึ้นไปบนเรือสำราญสมดังใจปรารถนา
ถึงแม้เพลิงไหม้จะหยุดลงแล้ว แต่ควันหนาแน่นบนเรือยังคงแสบตาแสบจมูก หมิงถานใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำปิดปากปิดจมูกเอาไว้ ออกตามหาคนบนเรือสำราญที่ยังไม่มีใครเข้ามาตรวจสอบพลางตะโกนเรียกว่า “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง! สามี!”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะแสบตาจากควันคละคลุ้งหรือเพราะร้อนรนกระวนกระวายใจกันแน่ หางตาของนางจึงมีหยาดน้ำตาเล็ดออกมา
อวิ๋นอี่คอยติดตามอยู่ไม่ห่างกายหมิงถาน ออกตามหาทีละห้องๆ เป็นเพื่อนนาง
เรือลำนี้ไม่เพียงแต่สร้างขึ้นไปหลายชั้น แต่ยังมีห้องเครื่องที่เชื่อมต่อลงไปยังใต้ท้องเรืออีกด้วย หมิงถานคิดว่าถ้าหากจะติดแหง็กออกมาไม่ได้ก็เป็นไปได้มากที่สุดที่จะติดอยู่ในห้องเครื่องที่ท้องเรือ ดังนั้นหลังนางค้นหาข้างบนเสร็จ หมิงถานก็ยังยืนกรานจะลงไปหาในห้องเครื่องอีก
ทว่ายามนี้ที่ห้องเครื่องใต้ท้องเรือนั้นเดือดจัดราวกับหม้อนึ่ง ร้อนระอุจนแสบผิว หมิงถานปีนขึ้นปีนลงไปแค่รอบเดียว แต่ทั่วทั้งร่างกลับสกปรกมอมแมมจนดูไม่ได้
ถึงแม้จะหาตัวเจียงซวี่กับซูจิ่งหรานไม่เจอ แต่กลับบังเอิญพบสตรีที่ถูกมัดเอาไว้แน่นลมหายใจรวยรินผู้หนึ่งในห้องเครื่องอย่างเหนือความคาดหมาย ดังนั้นหมิงถานกับอวิ๋นอี่จึงร่วมแรงกันช่วยเหลือนางออกมา
“หาไม่เจอหรือ” เจียงซวี่ยืนอยู่กลางดงต้นกกริมฝั่งแม่น้ำ เอ่ยถามขึ้นประโยคหนึ่ง
ผู้มาเยือนส่ายศีรษะ “ไม่เจอขอรับ จุยอิ่งกำลังไปตรวจสอบศพสตรีอยู่ขอรับ”
เจียงซวี่มิได้เอ่ยตอบอีก แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะไม่มัวมาเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ในขณะนี้เองจู่ๆ ก็มีเงาร่างสายหนึ่งทะยานลงมาหยุดลงกลางดงต้นกก ประสานมือคารวะพร้อมกับเอ่ยรายงานเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง พระชายาอยู่ที่ร้านเซียนเฉวียนขอรับ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เจียงซวี่อึ้งงันไปเล็กน้อย
“พระชายาขึ้นไปที่ร้านเซียนเฉวียนเพื่อตามหาท่านขอรับ”
ก้นบึ้งในหัวใจของเขาชะงักงันไปในบัดดล
แสงราตรีหม่นมัวหนาทึบ ไม่มีผู้ใดมองเห็นสีหน้าบนใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน รู้เพียงแต่ว่าเกิดความเงียบสงัดอย่างน่าประหลาดขึ้นมาระลอกหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเคลื่อนกายพุ่งปรี่ออกไปทันที
หลังจากช่วยสตรีคนหนึ่งที่ถูกจับมัดไว้ที่ห้องเครื่องใต้ท้องเรือออกมาได้แล้ว หมิงถานก็ยิ่งเชื่อมั่นในความคิดที่ว่าจะต้องเสาะหาตามห้องเครื่องใต้ท้องเรือลำอื่นๆ ต่อไป แต่ว่าเดิมทีเรี่ยวแรงนางก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว หลังจากสาละวนค้นหาอยู่พักใหญ่ มวยผมของนางก็ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง เหงื่อเปียกชุ่มราวกับสายฝน บนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นสกปรก เหนื่อยล้าหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปแล้ว
นางไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองกำลังยึดมั่นสิ่งใดกันแน่ ทั้งที่รู้ดีว่าตอนนี้เพลิงมอดดับไปหมดแล้วแต่ก็ยังหาไม่เจอ ด้วยความสามารถของเขาแล้วคงจะหนีรอดพ้นอันตรายไปได้ตั้งนานแล้ว ทว่าหากยังไม่ได้รับข่าวคราวของเขานานเท่าไร นางก็ไม่อาจวางใจได้นานเท่านั้น
นางคิดจะไปหาที่เรือสำราญลำอื่นที่ยังไม่ได้ค้นหา
ระหว่างเรือสำราญแต่ละลำมีสะพานไม้แคบๆ แผ่นเดียวเชื่อมต่อกันอยู่ พอเห็นว่าหมิงถานจะขึ้นไปบนสะพาน อวิ๋นอี่ก็รีบวางสตรีที่ช่วยออกมาได้ลงแล้วรีบไล่ตามไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่
“แกร๊ก…”
สะพานแผ่นไม้นี้ดูแวบแรกเหมือนจะสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย แต่ว่าอีกด้านหนึ่งกลับถูกไหม้เกรียมไปแล้ว หมิงถานเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ฝั่งตรงข้ามก็มีทีท่าว่าจะถล่มลงมา นางเผลอตื่นตระหนกไปเล็กน้อย ร่างกายจึงพลันโงนเงนขึ้นมา ท่าทางคล้ายกับจะคะมำไปด้านหน้า
อวิ๋นอี่กำลังจะยื่นมือออกไปคว้าร่างหมิงถานเอาไว้ แต่ทันใดนั้นพลันมีคนผู้หนึ่งลอยทะยานเข้ามาภายใต้ม่านราตรี ชิงรวบเอวบางแน่งน้อยของหมิงถานเอาไว้ก่อนอวิ๋นอี่หนึ่งก้าว หมุนตัวกลางอากาศหนึ่งตลบ เคลื่อนที่โดยใช้ปลายเท้าแตะผิวน้ำ ทะยานร่างลงบนเรือสำราญได้อย่างมั่นคง
เมื่อเห็นผู้มาเยือน หมิงถานก็ฉงนงุนงงไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่า “สะ…สามี?”
สีหน้านางตะลึงอึ้งงัน สุ้มเสียงแหบแห้งเพราะสำลักควัน
“วิ่งมาถึงที่นี่ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”
เจียงซวี่หลุบนัยน์ตาลงมองนาง เอ่ยถามเสียงเบา
หมิงถานมีถ้อยคำอยากจะพูดมากมาย ทว่าดวงตากลับไม่กล้ากะพริบแม้แต่ครึ่งพริบตา เอาแต่พิศมองอ้อยอิ่งอยู่บนใบหน้าของเขา พินิจพิจารณาเค้าโครงเครื่องหน้าของเขาอย่างละเอียดลออ
พักใหญ่ผ่านไป หัวใจของนางซึ่งกระดอนขึ้นมาอยู่ที่ลำคอตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ค่อยๆ กลับไปอยู่ที่เดิมอย่างเชื่องช้า
“สามีไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
พูดจบนางก็รู้สึกว่าเส้นประสาทในหัวสมองที่ตึงเครียดมาตลอดได้หย่อนคลายลงเสียที ร่างกายลอยล่องเบาหวิว เบื้องหน้าก็พร่าเลือนไปอย่างไม่มีสาเหตุ ก่อนจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปนางเหลือความคิดแค่เพียงอย่างเดียวว่า น่าอายเหลือเกิน ข้าถึงกับเป็นลมหมดสติไปเพราะเรื่องแค่นี้เหมือนกับฮูหยินท่านเจ้าเมืองไม่มีผิด!