กระวานน้อยแรกรัก
ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 14
“…พระชายาบอกว่าหากบ่าวไม่ยอมให้นางไป นางก็จะว่ายน้ำไปเอง แน่นอนว่าบ่าวจะฟาดพระชายาให้สลบไปเลยก็ได้ แต่บ่าวเห็นว่าพระชายาเป็นห่วงนายท่านมากจริงๆ จึงสงสารหักใจทำเช่นนั้นไม่ลง เป็นความบกพร่องของบ่าวเอง บ่าวน้อมรับโทษเจ้าค่ะ”
เมื่อกลับมาถึงที่ว่าการเมือง อวิ๋นอี่ก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ออกมาอย่างละเอียดยิบ
“สงสาร?” เจียงซวี่เหลือบมองนาง
“บ่าวมาจากหน่วยองครักษ์จินอวิ๋น จริงอยู่ที่ไม่ควรสงสาร ทว่าพอได้อยู่ข้างกายพระชายามาเป็นเวลานาน บ่าวเพิ่งได้เห็นพระชายาร้อนรนจนเสียอาการเช่นวันนี้เป็นครั้งแรก พระชายาไม่ทราบว่านายท่านจะทำอันใด เพียงแค่กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับนายท่าน อยากจะไปช่วยนายท่านเท่านั้น ขอนายท่านอย่าตำหนิพระชายาเลยเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้ากำลังโทษข้าติ้งเป่ยอ๋องอยู่หรือ”
“บ่าวมิกล้า”
อวิ๋นอี่คุกเข่าลงกับพื้น ทว่าแผ่นหลังกลับเหยียดตรงยิ่ง
เจียงซวี่เองก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ เขานิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นก็เปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหาตัวคนที่ข้าติ้งเป่ยอ๋องต้องการพบ ครั้งนี้จะถือว่าแล้วกันไป แต่ต่อไปหากเจ้าปล่อยปละให้พระชายาเข้าไปเสี่ยงอันตรายอีกครั้ง เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวให้ข้าผู้นี้เห็นอีก ไสหัวไปเสีย”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากอวิ๋นอี่ถอยกลับออกไป เจียงซวี่ก็ยืนเงียบๆ อยู่ที่ห้องชั้นนอกพักใหญ่ แสงราตรีนอกเรือนมืดทะมึน มีเสียงสกุณาเสียงจักจั่นขานร้องเป็นครั้งคราว เขายกเท้าขึ้นก้าวเดินไปยังห้องชั้นใน
ห้องชั้นในเงียบสนิทไร้สรรพเสียง ทุกสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในสายตาล้วนมีแต่ความหรูหราอวดร่ำอวดรวยที่ยามปกตินางมักจะรังเกียจว่าไม่น่าภิรมย์ แต่โชคดีที่ผ้าปูที่นอนและกำยานหอมสงบจิตล้วนเป็นของที่หมิงถานพกติดตัวมาเอง อาจจะด้วยสาเหตุนี้ ในเวลานี้นางถึงได้นอนหลับสบายเพียงนี้
เจียงซวี่นั่งลงตรงขอบเตียง มองรอยแผลไฟลวกเล็กๆ บนมือของนางแวบหนึ่ง ต่อมาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าหมาดที่พาดอยู่ตรงขอบอ่างล้างหน้าขึ้นมา เช็ดฝุ่นสกปรกที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของนางออก
จริงๆ แล้วที่เขาตอบรับคำเชื้อเชิญของเจ้าเมืองมุ่งหน้าไปยังร้านเซียนเฉวียนในค่ำคืนนี้ก็เพราะว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับหลักฐานที่โจวเป่าผิงได้เหลือทิ้งเอาไว้
เขาได้สั่งให้องครักษ์ลับแฝงตัวเข้าไปในหลิงโจวตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้แล้วเพื่อตรวจสอบคดีการตายอย่างกะทันหันของโจวเป่าผิง ทั้งยังได้ข้อสรุปมาอีกด้วย
เนื่องจากโจวเป่าผิงได้หลักฐานการปั่นราคาการซื้อขายสินค้าและแจ้งจังกอบเท็จของกองการค้าทางทะเลในหลิงโจวมาถึงได้ถูกคนฆ่าปิดปากอย่างไม่มีข้อสงสัย ซ้ำร้ายยังถูกป้ายสีด้วยสาเหตุการตายที่น่าเกลียดอย่างการเที่ยวหญิงคณิกา เสพสำราญอย่างไร้ขอบเขตเช่นนี้อีก
ทว่าการที่โจวเป่าผิงสามารถขึ้นมาเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้ใจให้ความสำคัญได้ก็แสดงว่าเขาเป็นคนฉลาดเฉลียวมีไหวพริบปฏิภาณมาก เมื่อรู้ว่าตนเองยากจะเอาตัวรอดได้ เขาจึงแอบเก็บซ่อนหลักฐานเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
ในช่วงระหว่างที่เขารับตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการกองการค้าทางทะเลที่หลิงโจว เขามักจะไปไหนมาไหนเพียงลำพัง คบค้าสมาคมกับผู้อื่นน้อยครั้งยิ่ง แน่นอนว่าในอาณาเขตของสกุลซู่เช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าผูกมิตรกับเขาเช่นกัน
องครักษ์ลับแฝงตัวเข้ามาสืบสวนอยู่ในหลิงโจวหลายวันก็พบว่าสิ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกของเขาก็คือการไปฟังดนตรีหาความสำราญที่เรือสำราญหนึ่งร้อยแปดสิบลำบนแม่น้ำหลิงอวี่ เขาแวะไปเยือนหลายร้าน แต่ว่าร้านที่เขาไปบ่อยที่สุดก็คือร้านมู่ชุนซึ่งมีชื่อเสียงทัดเทียมกับร้านเซียนเฉวียน
ทว่าหญิงสาวสองสามนางในร้านมู่ชุนที่โจวเป่าผิงเรียกตัวบ่อยๆ กลับกลายเป็นหลักฐานและสิ่งเสริมความน่าเชื่อถือให้แก่สาเหตุการตายอันเหลวไหลไร้สาระอย่างการเที่ยวหญิงคณิกา เสพสำราญอย่างไม่บันยะบันยังของเขา
จากการตรวจสอบขององครักษ์ลับ กองการค้าทางทะเลคงจะกุมตัวโจวเป่าผิงเอาไว้ทันทีที่รู้ว่าเขาได้หลักฐานมาอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าเขาต้องประสบชะตากรรมเช่นไรบ้าง แต่อย่างไรโจวเป่าผิงก็ไม่ยอมปริปาก กองการค้าทางทะเลเห็นว่าล้วงความลับจากปากเขาไม่ได้จึงจัดการกับเขาเสีย หลังจากนั้นสืบสาวไปตามคนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเขาในยามปกติ จนไปเจอพวกหญิงสาวจากร้านมู่ชุน
หญิงสาวเหล่านั้นไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดเลยแม้แต่กระผีกริ้น พวกนางกล่าวว่าปกติใต้เท้าโจวเรียกตัวพวกนางมาก็เพื่อฟังดนตรีบรรเลงคลายเครียดเท่านั้น ไม่เคยเล่าเรื่องของตนเองให้ฟังเลยสักครั้ง
แต่ในฐานะคนที่พบปะกับโจวเป่าผิงค่อนข้างมาก กองการค้าทางทะเลย่อมไม่มีทางปล่อยพวกนางไปง่ายๆ แน่นอน หลังจากทรมานให้รับสารภาพไม่ได้ผลก็สังหารพวกนางทิ้งทันที จากนั้นนำศพไปกองรวมกับโจวเป่าผิง สร้างสถานการณ์ปลอมๆ ว่าเขาเที่ยวหญิงคณิกาจนตายกะทันหัน
พอถึงตรงนี้ก็ไม่มีเบาะแสของหลักฐานที่โจวเป่าผิงเก็บซ่อนเอาไว้อีก องครักษ์ลับสืบเสาะอยู่หลายวันก็ยังไม่พบเงื่อนงำ สกุลซู่เองก็ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นเดียวกัน
จนกระทั่งพวกเจียงซวี่เดินทางเข้าสู่หลิงโจว อยู่ๆ ก็มีคนแอบติดต่อองครักษ์ลับอย่างลับๆ บอกว่าใต้เท้าโจวได้มอบของให้ตนเองเก็บรักษาไว้ แต่นางได้รับการไหว้วานจากใต้เท้าโจวว่าจะต้องมอบให้คนที่ฮ่องเต้ส่งมาด้วยมือของตนเองเท่านั้น
คนที่ติดต่อกับองครักษ์ลับอย่างลับๆ ก็คือสาวใช้เล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาในร้านมู่ชุนคนหนึ่ง มีนามว่าชิวเยวี่ย
ในปีที่เกิดปัญหาข้าวของแพงผู้คนอดอยาก โจวเป่าผิงได้เมตตาช่วยชีวิตนางเอาไว้ นางจึงทำงานให้โจวเป่าผิงด้วยความจงรักภักดีมาตลอด
สามเดือนก่อนหน้าที่โจวเป่าผิงจะถูกโยกย้ายไปรับตำแหน่งที่กองการค้าทางทะเลในผิงโจว นางก็ได้เดินทางมาที่หลิงโจวเพียงลำพัง หางานเป็นสาวใช้คอยหุงหาอาหารอยู่ที่ร้านมู่ชุนเป็นการล่วงหน้า
ชิวเยวี่ยมีใบหน้าธรรมดาไม่มีความน่าสนใจ เห็นผ่านตาก็สามารถลืมเลือนได้ทันที ปกตินางเอาแต่ตั้งอกตั้งใจทำงานไม่พูดไม่หือไม่อือ ไร้ตัวตนเป็นที่สุด
ยามโจวเป่าผิงมาที่ร้านมู่ชุนเพื่อเรียกหญิงคณิกาเข้าไปขับร้องบรรเลงเพลง ชิวเยวี่ยก็ได้ปรนนิบัติยกน้ำชาเข้าไปในห้องหลายครั้ง แต่เพราะนางไร้ตัวตนมากเกินไป ไม่ว่าสกุลซู่หรือองครักษ์ลับ ตอนสืบเรื่องราวต่างก็มองข้ามนางไปทั้งสิ้น
แต่เพราะเกิดเรื่องโจวเป่าผิงขึ้น สูญเสียหญิงคณิกาดาวเด่นไปหลายคนติดๆ กันรวดเดียว กอปรกับกองการค้าทางทะเลมักจะมาสืบหาตัวคนแทบไม่เว้นแต่ละวัน ระยะนี้กิจการของร้านมู่ชุนจึงย่ำแย่ยิ่ง ทำให้ต้องส่งตัวสาวใช้กลุ่มใหญ่ซึ่งชิวเยวี่ยก็รวมอยู่ในนั้นด้วยออกไป
ชิวเยวี่ยจดจำคำสั่งเสียของผู้เป็นนายเอาไว้ในใจเสมอมา ต้องรอจนกว่าที่คนของฮ่องเต้ส่งมาปรากฏตัวขึ้นถึงจะมอบหลักฐานให้ได้ เพื่อป้องกันมิให้ถูกใครสังเกตเห็นว่านางมีพฤติกรรมน่าสงสัย นางจึงมิได้เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม แต่กลับหางานทำในร้านเซียนเฉวียนเหมือนกับสาวใช้ส่วนใหญ่คนอื่นๆ
วันนี้เจียงซวี่ตอบรับคำเชิญไปยังร้านเซียนเฉวียนก็เพื่อไปพบแม่นางชิวเยวี่ยผู้นี้ด้วยตนเอง
แต่ว่าคงเป็นเพราะการที่ชิวเยวี่ยเป็นฝ่ายติดต่อองครักษ์ลับก่อนในคราวนี้เผยพิรุธออกไป คืนนี้หลังจากเจียงซวี่เข้ามาในร้านเซียนเฉวียนแล้ว เขายังไม่ทันได้พบหน้านาง สกุลซู่ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติเสียก่อน จึงส่งคนมาหมายจะจับตัวนางไป
ทว่าบนเรือมีองครักษ์ลับอยู่ไม่น้อย ผู้มาเยือนจับตัวชิวเยวี่ยไปแต่กลับไม่สามารถพานางออกไปได้อย่างราบรื่น ด้วยอารามรีบร้อนจึงจับนางโยนลงในห้องเครื่อง หลังจากนั้นก็ราดน้ำมันจุดไฟเผาบริเวณโดยรอบ
ฤดูนี้อากาศแห้งติดไฟง่าย กอปรกับลมบนผิวแม่น้ำพัดพาให้เพลิงลุกลามกระจายไปได้ง่ายดายที่สุด บีบให้พวกเจียงซวี่ต้องหนีออกมาจากเรือสำราญก่อนชั่วคราว
ผู้มาเยือนคงคิดว่าถ้าหากเพลิงมอดดับแล้วชิวเยวี่ยยังไม่ถูกไฟคลอกตาย พวกเขาค่อยมาจับตัวไปอีกครั้งก็จะเป็นการดีที่สุด แต่หากคนตายไปแล้ว เกรงว่าพวกเจียงซวี่เองก็คงยากจะหาหลักฐานเจอเช่นกัน
การกระทำเช่นนี้ประสบผลสำเร็จจริงๆ พอร้านเซียนเฉวียนเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เจียงซวี่กับซูจิ่งหรานก็ไม่มีหนทางอื่น จำเป็นต้องล่าถอยกลับมาก่อนชั่วคราว
องครักษ์ได้จับตัวผู้มาเยือนเอาไว้ในขณะที่เขาคิดจะฉวยจังหวะโกลาหลวุ่นวายหนีออกจากเรือสำราญไป แต่ว่าผู้มาเยือนล้วนเป็นหน่วยพลีชีพ เจียงซวี่ยังไม่ทันได้ซักไซ้ไล่ถามคนพวกนั้นก็กัดยาพิษฆ่าตัวตายไปเสียก่อน สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้ในตอนนั้นก็คือ พวกเขายังไม่ทันได้พาตัวชิวเยวี่ยไปด้วย
เมื่อเห็นว่าเพลิงบนเรือมอดดับสนิทแล้วแต่ก็ยังหาตัวชิวเยวี่ยไม่พบ ทีแรกเจียงซวี่ก็ไม่คิดจะรั้งตัวอยู่อีกต่อไป แต่นึกไม่ถึงว่ากลับเกิดเรื่องหมิงถานแทรกขึ้นมา…ชายาตัวน้อยของเขาถึงกับขึ้นไปบนเรือสำราญด้วยตนเองเพื่อจะไปช่วยเหลือเขา
จริงๆ แล้วในยามที่เกิดเพลิงไหม้ ในสมองของเขาก็มีเสี้ยวพริบตาหนึ่งที่คิดว่าละครกลางแม่น้ำของหลิงโจวเป็นที่เลื่องชื่อยิ่ง คืนนี้ฮูหยินท่านเจ้าเมืองอาจจะเชิญพระชายาของเขาไปร่วมรับชม เช่นนั้นนางอาจจะเห็นก็ได้ว่ามีเพลิงไหม้บนเรือสำราญที่อยู่ห่างไกลออกไป
แต่ว่าเขาก็คิดเช่นนี้เพียงแค่เสี้ยวพริบตาเดียวเท่านั้น เห็นแล้วอย่างไรเล่า รู้แล้วอย่างไรเล่า แต่ไรมานางก็ฉลาดเฉลียวมีไหวพริบอยู่ไม่น้อย คงไม่ถึงขั้นคิดว่าเขาจะตกที่นั่งลำบากเพราะเรื่องแค่นี้
ดังนั้นตอนเขาได้ยินองครักษ์ลับมารายงานว่าพระชายาขึ้นไปบนเรือสำราญเพื่อไปช่วยเขา เขาจึงตกตะลึงอึ้งงันไปชั่วขณะ หลังจากได้สติกลับคืนมา เสี้ยวพริบตาหนึ่งเขารู้สึกว่าช่างเหลวไหลไร้สาระ อีกเสี้ยวพริบตาก็มีความตื้นตันใจอย่างยากจะพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.