ค่ำคืนยามคิมหันต์ฤดูที่หลิงโจวไม่ค่อยเหมือนกับเมืองหลวงสักเท่าไร ลมราตรีชื้นแฉะ ซ้ำยังเจือด้วยไอร้อนที่ยังไม่เลือนหายจากตอนกลางวัน ในเมื่อหมิงถานไม่ยอมตอบ เจียงซวี่เองก็มิได้ฝืนใจนาง เขายืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกจากห้องชั้นในไปอย่างเงียบเชียบ
เขาเดินตรงออกไปจนถึงนอกเรือน ก่อนจะหยุดยืนเอามือไพล่หลังนิ่งอยู่บนขั้นบันได ไม่รู้เช่นกันว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
ส่วนหมิงถานนั้นซุกอยู่ในผ้าห่มทำตัวนิ่งเงียบประหนึ่งนกกระทาขลาดกลัว ในสมองของนางก็สับสนว้าวุ่นมากดุจเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดความหวาดหวั่นลนลานจากความงุนงงสับสนอีกด้วย
นางรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานางชื่นชอบสามีมาก แต่สิ่งที่นางชอบควรจะเป็นสามีของนาง…ที่มีรูปโฉม ฐานะ ความประพฤติตน และความรู้ความสามารถโดดเด่นล้ำเลิศเหนือผู้ใดต่างหาก
สิ่งที่เรียกว่าความรักใคร่ชื่นชอบล้วนสร้างขึ้นบนเงื่อนไขว่าบุรุษผู้นี้เป็นสามีของนาง
ถ้าหากไม่เกิดเหตุพลิกผัน นางไม่ได้รับสมรสพระราชทาน สามีของนางเปลี่ยนเป็นเหลียงจื่อเซวียนหรือว่าซูจิ่งหรานแทน นางก็คงจะชอบ คงจะอยู่ร่วมกับเขาด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจเช่นเดียวกัน สตรีออกเรือนไปก็ต้องเชื่อฟังสามี ร่วมแรงร่วมใจกัน มีอันใดไม่ถูกต้องกัน
แต่ก่อนนางคิดเช่นนี้มาตลอด
ทว่าตอนนี้นางเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว
ไม่ว่าสามีของนางจะเป็นใคร พอถึงยามคับขันนางก็คงจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขา ไม่อยากมีชีวิตอยู่เพียงลำพังต่อไปอยู่ดีหรือ
นางพลิกกายตะแคงข้าง มุมผ้าห่มที่ถูกจิกแน่นไว้ในมือกลายสภาพเป็นก้อนกลมยับย่นไปแล้ว นางเบิกตาโพลง มิอาจข่มตาหลับ เบื้องหน้าปรากฏภาพในวันวานเมื่อครั้งที่ได้อยู่ร่วมกันกับสามีขึ้นมาทีละฉากทีละตอนอย่างมิอาจห้ามได้
เขามักจะพูดน้อยเสมอ เคร่งขรึมสุขุม เย็นชาเฉยเมย บางครั้งยังแสดงความรำคาญใจอย่างชัดเจนออกมาอีกด้วย แต่กับนางแล้วเขาอ่อนโยนเสมอมา โอบอ้อมอารีต่อนางครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมอ่อนข้อให้ครั้งแล้วครั้งเล่า…
ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องใดขึ้นมา จู่ๆ ศีรษะเล็กๆ ของนางก็โผล่พรวดออกมาจากผ้าห่ม นางพลิกร่างหนึ่งที มุมปากยกขึ้นสูงอย่างไม่รู้สึกตัว ในใจทั้งสับสนทั้งหวานล้ำ
ผ่านไปครู่ใหญ่นางก็เยี่ยมศีรษะออกไปนอกขอบเตียง ตะโกนหยั่งเชิงไปทางด้านนอกว่า “สามี? อาถานหิวแล้ว”
ด้านนอกมีเสียง “อืม” ดังขึ้น ไม่นานนักเจียงซวี่ก็พาบ่าวรับใช้ที่นำอาหารว่างมื้อดึกมาส่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกัน
ราตรีแสนดีงามเยี่ยงนี้จะปล่อยให้สูญเปล่ามิได้
ซูจิ่งหรานเดินทอดน่องพิศชมจันทราอย่างเอ้อระเหยลอยชาย เขาเดินหาจนเจอที่ลับตาห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง ขณะกำลังจะเป่าขลุ่ยใต้แสงจันทร์ ทันใดก็พลันเห็นอวิ๋นอี่นั่งเอนพิงอยู่บนชายคาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล กำลังแทะน่องไก่อย่างชวนให้เสียบรรยากาศยิ่งนัก เขาจึงอดตะโกนเรียกมิได้ “แม่นางอวิ๋น”
“คุณชายรองสกุลซู”
ซูจิ่งหรานพยักหน้า ก่อนจะทะยานร่างขึ้นไปบนชายคา
“คุณชายรองสกุลซู ท่านเป็นวรยุทธ์ด้วยหรือ” อวิ๋นอี่ประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย ตลอดเวลาที่เดินทางร่วมกันมา นางดูไม่ออกเลยสักนิดว่าคนผู้นี้เคยเรียนวรยุทธ์มาด้วย
“พอได้บ้างนิดหน่อย” ซูจิ่งหรานแย้มยิ้ม ปัดฝุ่นบนเศษกระเบื้องให้สะอาด เลิกชายชุดคลุมออกแล้วหย่อนตัวลงนั่ง
ซูจิ่งหรานกล่าวเช่นนี้หาใช่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ ดูจากวิชาตัวเบาของเขาแล้ว อวิ๋นอี่เองก็ดูออกว่ากำลังภายในของเขามิได้แกร่งกล้า คงจะอยู่แค่ในระดับที่สามารถปกป้องตนเองได้ธรรมดาๆ เท่านั้น
นางเพิ่งจะแทะน่องไก่ไปได้ครึ่งเดียว ทันใดนั้นก็รู้สึกกระดากใจที่จะแทะกินต่อไปคนเดียว แต่ว่านางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย นางไม่อยากจะหยุดกินตอนนี้ หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายนางก็หยิบน่องไก่ที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันออกมาจากในอกเสื้อแล้วยื่นออกไปให้เขา “ให้ คุณชายรองสกุลซู เชิญท่านกินเถิด”
คุณชายรองสกุลซูหลุบตาลง พลันระบายรอยยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ขอบคุณแม่นางอวิ๋นมาก”
เขารูปโฉมหล่อเหลาหมดจด ยามคลี่ยิ้มยิ่งชวนให้คนรู้สึกอบอุ่นอิ่มเอมราวกับอาบสายลมวสันต์ อวิ๋นอี่อึ้งงันไปชั่วขณะ นางรีบร้อนชักมือกลับ กัดแทะน่องไก่ต่อไป ทว่าการเคลื่อนไหวกลับสำรวมขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยอย่างมิอาจห้าม
“นี่คือไก่รมชาของหลิงโจว?” ซูจิ่งหรานดมกลิ่นเบาๆ แล้วเอ่ยถามขึ้น