บทที่ 18
เจียงซวี่วางพัดลงอย่างไม่แสดงสีหน้าใดๆ
หมิงถานมองพัดกลมแวบหนึ่งอย่างนิ่งอึ้ง ทันใดนั้นก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมา นางลุกขึ้นมาจากตั่งนุ่มอย่างเชื่องช้า กระเถิบๆ ขยับไปจนถึงขอบตั่งนุ่ม กวาดตามองไปรอบด้านหนึ่งรอบ ต่อมาก็รีบร้อนจัดสาบเสื้อที่ยับยุ่งหลุดลุ่ยให้เรียบร้อย
เมื่อครู่เพิ่งจะตื่นขึ้นมา หัวสมองหมิงถานยังคงสับสนงุนงงอยู่บ้าง นางจึงยังปะติดปะต่อความรู้สึกก่อนจะนอนหลับไม่ทัน แต่ในระหว่างที่กำลังจัดสาบเสื้ออยู่ในขณะนี้ นางก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้…
ข้าออกมานอนข้างนอกได้อย่างไรกันหนอ อ้อ จริงสิ สาวงามจากหอฮุยโหลว ข้าถูกสาวงามที่ส่งมาทำให้โมโหเข้า
มือของนางหยุดชะงักลงทันใด การเคลื่อนไหวเริ่มเชื่องช้าลง อากัปกิริยาทั้งร่างแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
นางจัดสาบเสื้อให้เรียบร้อยพลางเอ่ยถามอย่างไม่ใคร่สนใจ “เหตุใดสามีถึงรีบกลับมาเล่า ข้านึกว่าสามีจะร่ำสุราสรวลเสเฮฮากับใต้เท้าทั้งหลาย ทั้งยังมีสาวงามคอยอยู่เคียงข้าง คืนนี้คงไม่กลับแล้วเสียอีก”
“…”
จริงดังคาด สิ่งที่ควรเกิดก็เกิดขึ้นจนได้
ใครบางคนที่กำลังกินน้ำส้ม* หลงนึกว่าตนเองกลบเกลื่อนได้อย่างเยี่ยมยอด แต่กลับหารู้ไม่ว่ากลิ่นน้ำส้มนั้นรุนแรงอบอวลเสียจนแทบจะรมบุปผางามในแปลงดอกไม้ให้เหี่ยวเฉาตายเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังเอ่ยพูดต่อไปด้วยท่าทีราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น “หญิงงามที่ใต้เท้ากำนัลให้เหล่านั้น ข้าได้ให้ฮูหยินท่านเจ้าเมืองจัดหาที่พักให้พวกนางแล้ว เพียงแต่คนมีจำนวนมาก ซ้ำยังโผล่มาอย่างปุบปับกะทันหัน เกรงว่าคงจะต้องเบียดเสียดกันสักหน่อย ขอสามีโปรดอย่าตำหนิ ตอนแรกข้าอยากจะเอารถม้ามาด้วยหลายๆ คัน แต่สามีไม่ยอม เดี๋ยวพอตอนกลับเมืองหลวงคงต้องซื้อรถม้ามาเพิ่มเสียแล้ว”
เจียงซวี่ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะอธิบายว่า “ข้าติ้งเป่ยอ๋องไม่รู้ว่าเขาจะประหารก่อนค่อยกราบทูล* ส่งตัวสตรีเหล่านี้มาถึงที่จวน”
หมิงถานนิ่งเฉยไม่แยแส
เจียงซวี่เองก็มิได้พูดอันใดมากไปกว่านั้นอีก เพียงแค่กล่าวว่า “นับๆ เวลาดู องครักษ์ลับคงจะส่งตัวกลับไปแล้ว”
ยามนี้หมิงถานถึงได้หันมามองเขาปราดหนึ่ง ครู่หนึ่งผ่านไป นางสะกดกลั้นความปรารถนาอยากจะซักถามเอาไว้ ก้มหน้าจัดแขนเสื้อให้เรียบร้อยพลางเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ก็จริง ดูเหมือนว่าแค่แม่นางชิงอวี่เพียงคนเดียวก็สามารถเทียบเท่าหมู่มวลบุปผางามที่แย่งกันผลิบานประชันโฉมได้แล้ว”
ครั้นเห็นว่าคราวนี้เจียงซวี่ไม่ส่งเสียง การเคลื่อนไหวของหมิงถานก็นิ่งชะงักไปเล็กน้อย หัวใจนางเย็นวาบไปครึ่งดวง
นางปรับลมหายใจครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “แม่นางชิงอวี่เล่า สามีมิได้พากลับมาด้วยหรือ หรือว่าจะรอหาฤกษ์งามยามดีไปรับตัวมาจากหอฮุยโหลว”
“เจ้าอยากให้ข้าติ้งเป่ยอ๋องพานางกลับมาด้วยหรือ”
ตนเองอยากได้เองแท้ๆ ไฉนถึงกล่าวว่าข้าอยากให้พามาเล่า
ข้าอยากหรือไม่ในใจเขาไม่รู้เชียวหรือ!
หมิงถานโกรธจัดจนเริ่มเลอะเลือน ปลายนิ้วจิกแขนเสื้อแน่นอย่างมิอาจห้าม นางเอ่ยด้วยความปากแข็งว่า “ในจวนเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว มีพี่สาวน้องสาวเพิ่มขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนอีกสักคนก็ดี ข้าซุ่มซ่ามเงอะงะ ปรนนิบัติท่านอ๋องไม่เป็น เอาใจใส่ไม่มากพอ ทำให้ท่านอ๋องต้องเหน็ดเหนื่อยเสียเปล่าๆ”
เจียงซวี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด พอเห็นว่าทั้งๆ ที่นางโกรธจนแก้มพองแล้วแต่ก็ยังฝืนใจแสร้งว่าสงบเยือกเย็นและทำท่าทางใจกว้างโอบอ้อม เขาก็นึกอยากจะแกล้งหยอกนางขึ้นมาสักยก
เจียงซวี่จดจ้องนางแน่วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าติ้งเป่ยอ๋องก็จะสั่งให้คนไปรับตัวนางมา”
เขาหันกายกลับไป
หมิงถานพลันระเบิดโทสะขึ้นมาในชั่วพริบตา นางรีบกระชากชายเสื้อของเขาเอาไว้ แล้วทุบตีลงบนร่างกายเขาโดยไม่ผ่านการครุ่นคิดไตร่ตรองเสียก่อน
นางลงไม้ลงมืออย่างรุนแรงยิ่ง ทุบตีจนฝ่ามือของตนเองชาหนึบไปหมด
รอบด้านเงียบสงัดไร้สิ้นสรรพเสียงขึ้นมาทันใด
หมิงถานเองก็ได้สติขึ้นมาโดยพลัน
นี่ข้ากำลังทำอันใดอยู่หนอ ทุบตีสามี? นี่ข้ากำลังทำผิดกฎเจ็ดออก* โทษฐานอิจฉาริษยาอยู่มิใช่หรือ ข้ายังไม่มีทายาท สามีคงจะไม่โกรธจนขอหย่ากับข้า หรือไม่ก็ใช้สิ่งนี้บีบบังคับให้ข้ายินยอมให้สตรีจากหอฮุยโหลวผู้นั้นแต่งเข้าจวนกระมัง
หัวสมองของนางว่างเปล่าขาวโพลนขึ้นมาในชั่วพริบตา
ครู่ใหญ่ผ่านไป นางได้สติแจ่มชัดขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ทุบตีลงบนร่างของเจียงซวี่อีกครั้ง
“…”