ครั้นเจียงซวี่เห็นสีหน้าแววตาตอนนางทุบตีเขาเสร็จ ก็พอจะรู้ว่าในสมองของนางที่อัดขนบจารีตกฎระเบียบเอาไว้เต็มแน่นนั้นกำลังคิดอันใดอยู่บ้าง แต่การที่นางหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเริ่มทุบตีใหม่อีกครั้ง เขาไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไรนัก
“เหตุใดถึงตีข้าติ้งเป่ยอ๋องอีกเล่า”
หมิงถานเชิดหน้า มองเขาอย่างโกรธจัดจนตาแดงก่ำ พูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่า “ตีก็ตีไปแล้ว กฎเจ็ดออกก็ละเมิดไปแล้ว ไม่ตีอีกหลายๆ ครั้งก็ขาดทุนแย่มิใช่หรือ!”
รอบด้านเงียบกริบอีกครั้ง
ครู่ใหญ่ผ่านไป เจียงซวี่กลับพยักหน้าเบาๆ “คำพูดของพระชายามีเหตุผลยิ่ง”
พูดจบเขาก็ขยับเข้ามาทันใด ช้อนตัวนางอุ้มขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในเรือน ก้นบึ้งดวงตาเองก็ปรากฏแววขบขันอย่างที่มิอาจสังเกตเห็นได้ง่ายผ่านวูบไป
“ท่านทำอันใดของท่าน จะไปรับผู้อื่นมิใช่หรือ”
“รับใครกัน”
“ก็ท่านบอกว่า…” หมิงถานพลันตัวแข็งค้างไป เพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาตอนนี้ “เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้เล่า!”
“ข้าติ้งเป่ยอ๋องทำอันใดรึ”
นางโมโหจนพูดไม่ออก
ทว่าหลังจากเจียงซวี่วางตัวนางลงบนเตียงแล้ว จู่ๆ เขาก็บีบพวงแก้มนางเบาๆ สายตาล้ำลึก สุ้มเสียงแหบพร่า “ท่าทางยามพระชายากินน้ำส้มช่างน่ารักยิ่ง”
นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่หมิงถานได้ยินเจียงซวี่เอ่ยชมนางว่า ‘น่ารัก’ จึงอดหันไปมองเขามิได้ นางผงะอึ้งไปในเสี้ยวพริบตา แต่ว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวนี้ชุดกระโปรงบนร่างของนางก็ถูกปลดเปลื้องออกไปมากกว่าครึ่ง ชายหนุ่มพร้อมด้วยกระไอรุกรานอันคุ้นเคยโน้มร่างกดทับลงมา
ครั้งก่อนที่ทั้งสองได้ร่วมอภิรมย์กันก็คือตอนอยู่ที่ผางซาน มิได้มีสัมพันธ์แนบชิดสนิทสนมกันมาเนิ่นนานหลายวัน อยู่ๆ ก็มาเกี่ยวกระหวัดรัดพันเช่นนี้ หมิงถานจึงรู้สึกขัดเขินเอียงอายขึ้นมานิดๆ อย่างน่าประหลาด อีกทั้งยังรู้สึกอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติอีกด้วย
…นี่ดูเหมือนจะเกี่ยวกับตอนหลังจากขึ้นไปช่วยเขาบนเรือสำราญแล้วนางสังเกตได้ว่าความรู้สึกที่ตนเองมีต่อสามีมิใช่แค่ความผูกพันฉันสามีภรรยาเท่านั้น
ดวงหน้าน้อยๆ ของนางนุ่มละมุนแดงระเรื่อ เบนสายตาหนี กึ่งหลุบตาด้วยความเขินอาย มือน้อยๆ ยังดันเขาออกเบาๆ อย่างไม่อยู่นิ่ง พาให้ความปรารถนาในก้นบึ้งดวงตาของเจียงซวี่ยิ่งทวีความเข้มข้นรุนแรงขึ้นหลายส่วน
กลิ่นอายสิเน่หาค่อยๆ อาบย้อมภายในห้อง แต่ทันใดนั้นนอกห้องกลับมีเสียงกล่าวแจ้งดังขึ้นกะทันหัน “ทะ…ท่านอ๋อง ใต้เท้าขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
ที่นี่คือที่ว่าการเมืองของท่านเจ้าเมือง ใต้เท้าที่บ่าวรับใช้พูดถึง ย่อมหมายถึง ‘ท่านเจ้าเมือง’ นั่นเอง
เจียงซวี่ยามนี้เสมือนเกาทัณฑ์ขึ้นสายพร้อมยิงออกไป เดิมทีเขาคิดจะไม่สนใจ แต่หมิงถานกลับทุบแผ่นอกของเขา เอ่ยเสียงหอบอย่างขาดๆ หายๆ “ในเมื่อท่านเจ้าเมืองมาหาเวลานี้ สะ…แสดงว่าคงมีเรื่องสำคัญจะหารือ…”
เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะหันศีรษะไปทางประตู กดเสียงต่ำแล้วเอ่ยว่า “มีธุระอันใด”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ ใต้เท้าแค่ให้บ่าวมาแจ้งเท่านั้น บอกว่าต้องการเข้าพบท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
แววปรารถนาในก้นบึ้งดวงตาของเจียงซวี่ยังมิได้ลดเลือนหายไป แต่สุดท้ายเขาก็พลิกกายลงจากเตียง จัดสาบเสื้อที่หลุดลุ่ยให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปเขายังโน้มตัวลงไปบีบแก้มของหมิงถานเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าน้อยๆ “รอข้าติ้งเป่ยอ๋องกลับมา”
หมิงถานกุมใบหน้าด้านขวาที่ถูกเขาบีบเอาไว้ ใช้มืออีกข้างยันเตียงลุกขึ้นนั่ง เช็ดโดนร่องรอยที่ถูกดูดเม้มบนร่างกายออกด้วยความเขินอายระคนรีบเร่งลนลาน
ด้านนอกห้อง เจียงซวี่เดินก้าวออกมาจากประตูเรือน สายตาไม่หยุดลงบนร่างของเจ้าเมืองเลยสักครั้ง เขาเพียงแค่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นปราศจากความอบอุ่นว่า “ทางที่ดีเจ้าควรจะมีเรื่องเร่งด่วนอันใดจริงๆ”
เจ้าเมืองเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผาก ถ้าหากเป็นไปได้เขาเองก็ไม่อยากจะรบกวนพญายมผู้นี้แม้แต่น้อย นี่เป็นเพราะเขามิอาจผิดใจกับสกุลซู่ได้เช่นเดียวกัน เลยทำได้เพียงหาหนทางเอาตัวรอดระหว่างสองฝั่งต่างหากเล่า
เขาค้อมกายลง เอ่ยอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงว่า “ทะ…ท่านอ๋อง แม่นางชิงอวี่บอกว่าตนเองมาจากหอฮุยโหลว อยากจะขอพบท่านขอรับ”
“เรื่องแค่นี้?”
เจ้าเมืองพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าลำบากใจ “แม่นางชิงอวี่ผู้นี้พูดอย่างไรก็ไม่ยอมไป บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะหารือกับท่านอ๋อง… ผะ…ผู้น้อยเองก็ไม่รู้ว่าควรจะขัดขวางเช่นไร จึงได้แต่เชิญนางเข้ามาที่ห้องโถงขอรับ”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าควรจะขัดขวางเช่นไร ถ้าหากไม่รู้จริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องทำอันใดประเดี๋ยวก็มีองครักษ์ลับขวางนางกลับไปเอง แต่เพราะผู้มาเยือนอ้างนามของอวี้ป๋อจง เขาไม่อยากจะล่วงเกินสกุลซู่ ถึงได้เชิญนางเข้ามาที่ห้องโถง แล้วถึงค่อยมาเชิญเจียงซวี่ทีหลัง
เจ้าเมืองกำลังพะว้าพะวังรอคอยคำตอบจากเจียงซวี่ ทว่าด้านหลังของเจียงซวี่กลับพลันมีคนเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าแช่มช้า เอ่ยอย่างสงบราบเรียบว่า “ในเมื่อมาแล้ว ไปพบสักหน่อยจะเป็นไรไป”
เดิมทีหมิงถานเห็นว่าเจียงซวี่ทำตราประทับร่วงหล่น คิดว่าหากมีธุระสำคัญอันใดเขาก็อาจจำเป็นต้องใช้ นางจึงรีบร้อนเปลี่ยนเสื้อผ้าไล่ตามออกมา แต่นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะออกมาก็ได้ยินคำพูดนี้ของเจ้าเมืองเข้าพอดิบพอดี
ยามนี้หมิงถานถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่นางยังโมโหอยู่เลย แต่กลับถูกใครบางคนขัดจังหวะจนลืมไปหมดสิ้น