ชายหนุ่มคนนั้นยื่นมือออกมาทักทายกับเจ๊อย่างไม่ให้เสียมารยาท “ผมชื่อณัฐครับ”
หลังจากทักทายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็พยายามเอาตัวดันเจ๊ออกไปข้างๆ เพื่อพูดธุระกับหนุ่มณัฐคนนี้ให้เรียบร้อย
“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับฉันคะ”
“เอ่อ…ผมพบกล่องนี้อยู่ในลิฟต์เมื่อคืนครับ ต้องขอโทษด้วยที่ละลาบละล้วงเพราะผมเห็นการ์ดที่ติดมา จึงทราบว่าเจ้าของกล่องนี้เป็นคุณ” เขายื่นกล่องสีขาวที่อยู่ในมือมาให้ฉัน
โอ้ คุณพระช่วย…กล่องที่เขาถืออยู่นั้นมันเป็นกล่องของขวัญที่เจ๊ให้มานี่นา!
ฉันหามันไม่เจอเพราะมันตกอยู่ในลิฟต์ตั้งแต่เมื่อคืนนั่นเอง ที่สำคัญผู้ชายคนนี้เก็บมันได้!!
แล้วเขาจะเห็นไหมว่าอะไรที่อยู่ข้างในนั้น…
เขาต้องเห็นอยู่แล้วล่ะ เพราะการ์ดมันเสียบอยู่ข้างในกล่อง ฮือ…ฉันอยากตาย
ไม่รู้ผ่านมากี่นาที หลังจากที่เขายื่นกล่องมาให้ฉันก็ยังคงยืนแข็งเป็นรูปปั้นหินอ่อนอยู่ที่เดิม ใบหน้าคงเปลี่ยนสีสลับไปมาจากสีขาวซีดเป็นสีแดงทั้งหน้าเพราะรู้สึกว่ามันร้อนวูบวาบด้วยความอับอาย และก่อนที่ฉันจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป เจ๊ก็จัดการกับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ด้วยคำพูดที่ฉันรู้สึกว่ามันล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกล
“ขอบคุณนะฮะ เรากำลังสงสัยอยู่เชียวว่าของขวัญชิ้นสำคัญมันหายไปไหน”
ขอบคุณมากค่ะเจ๊…รู้สึกว่าเจ๊กำลังทำให้ฉันอายมากขึ้นและอะไรๆ มันก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
เจ๊กี้คงรับกล่องนั้นคืนมาแล้ว ส่วนฉันได้แต่ก้มหน้างุด มองเห็นเพียงปลายขากางเกงยีนที่คลุมรองเท้าผ้าใบแบบที่ใช้เล่นกีฬาของชายหนุ่มเท่านั้น
“ขอโทษที่ผมนำมาคืนช้านะครับ คือผมเพิ่งพบมันตอนดึกของคืนวาน พยายามไปถามออฟฟิศข้างล่างว่าคุณอยู่ห้องไหน แต่ผมไม่กล้ามาเคาะห้องคุณดึกๆ แล้วเมื่อเช้าผมก็ตื่นสาย มาเคาะห้องคุณตอนเที่ยงแล้วคุณไม่อยู่ ผมเลยเอามาคืนช้าครับ”
ฉันรู้ว่าเขาพยายามอธิบายความบริสุทธิ์ใจในการช่วยเหลือของเขาให้เราทั้งสองคนฟัง แต่ฉันก็อายเกินกว่าที่จะพูดขอบคุณ และการที่จะหันหลังแล้วเดินกลับเข้าห้องไปก็เป็นกิริยาที่เด็กเกินกว่าสาววัยสามสิบจะพึงกระทำ