“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันพูดเสียงเบาจนตัวเองก็แทบจะไม่ได้ยิน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
“สวัสดีฮะ” เจ๊กี้ตอบกลับไป
และเมื่อเจ้าของรองเท้าผ้าใบคู่นั้นหมุนตัวออกไป เจ๊กี้ก็กึ่งลากกึ่งจูงฉันเข้าไปในห้อง
“บัว…เป็นอะไรไป ช็อกไปเลยเหรอน้องรัก”
ฉันช็อกจริงๆ
“โอย เจ๊ หนูอยากร้องไห้ ผู้ชายนะเจ๊ ผู้ชายคนนั้นเป็นคนเจอชุดชั้นในของหนู”
แม้มันจะเป็นชุดชั้นในที่ฉันยังไม่เคยใส่ก็จริง แต่เชื่อเถอะ ผู้ชายคนนั้นต้องคิดว่ามันเป็นชุดชั้นในแบบที่ฉันชอบหรือใส่ประจำแน่นอน
“อือ นั่นสิ หล่อซะด้วย”
“นั่นไม่เกี่ยวเลยเจ๊ ไม่เกี่ยวว่าเขาจะหล่อหรือไม่หล่อ ที่สำคัญก็คือเขาเจอมันและมันเป็นชุดชั้นในซีทรูสีแดงต่างหาก” ฉันคร่ำครวญและนอนชักดิ้นชักงอบนโซฟา
“เอาน่า หนูจะคร่ำครวญไปทำไม เจ๊ว่าเขาก็ดูเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่เอาเรื่องที่หนูทำชั้นในตกในลิฟต์มาล้อเลียนเมื่อเจอกันคราวหน้าหรอก และเขาก็หน้าแดงแปร๊ดไม่แพ้หนูเหมือนกันตอนพยายามอธิบายให้เจ๊ฟังเรื่องการประสบพบเจอของขวัญกล่องนี้น่ะ” เจ๊หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
“ดูท่าทางเจ๊จะมีความสุขมากนะ ใช่ซี้ เขาเจอชุดชั้นในของหนู ไม่ใช่ของเจ๊นี่” ฉันเริ่มพาล
“อุ๊ย ถ้าเจอของเจ๊นะ แสดงว่ามันต้องมีความหมายมากกว่าการทำตกเฉยๆ จ้ะ” เจ๊กี้หัวเราะร่า
ฉันเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าการที่เขาเดินท่อมๆ มายืนอยู่หน้าห้องฉันก็แสดงว่าเขาต้องอาศัยอยู่ในตึกนี้ด้วย เพราะคนภายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนชั้นสิบตามลำพังแน่นอน ดังนั้นจึงมีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้สูงมากที่ฉันจะเดินไปเจอเขาในลิฟต์ ห้องอาหาร ร้านซักรีด ฟิตเนส โถงหน้าคอนโดฯ หรือลานจอดรถ
โอย…ตายแน่ แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน…
หลังจากเจ๊กี้ลากลับไปแล้ว ฉันก็ยังหมกมุ่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ดี พยายามคิดหาวิธีการหลบหลีก หรือคำพูดต่างๆ หากบังเอิญเจอนายณัฐอีก ถ้าเขามีท่าทีที่ไม่สุภาพหรือพูดถึงเรื่องนี้อย่างหยาบคาย ฉันก็จะบอกว่า
‘ขอบคุณนะคะที่เก็บชั้นในให้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉันคงไม่ได้ใส่มัน’
นี่คงก๋ากั่นพอที่จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เขาอยากมายุ่งกับฉันอีก แต่ถ้าเขาเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่เจ๊กี้ว่า ฉันก็จะแสดงความเป็นสุภาพสตรีโดยการไม่พูดถึงมันและยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานที่สุด
หลังจากทำร้ายจิตใจตัวเองโดยการคิดทุกอย่างในแง่ร้ายจนพอใจแล้ว ฉันก็พยายามข่มตาให้หลับและคิดว่าพรุ่งนี้เช้าคงลืมมันได้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 พ.ย. 64 เวลา 12.00 น.