(6)
แล้ววันอาทิตย์ฉันก็อยู่ในภาวะปวดตึงไปทั้งตัว เมื่อถึงเช้าวันจันทร์ แม้ฉันจะยังไม่ได้ตัดสินใจวางแผนอนาคตของตัวเองอย่างชัดเจนแต่ฉันก็มาทำงานด้วยสภาพร่างกายที่ดีขึ้นมานิดหน่อย พร้อมกับร่างแผนงานของกินรีที่ได้คิดมาตลอดวันหยุด ฉันวางแผนการประชาสัมพันธ์ไว้มากมายหลายวิธีซึ่งต้องรอประชุมร่วมกับยายน้ำก่อนที่จะเอาความคิดเหล่านี้ไปเสนอให้พี่อี๊ดพิจารณา หลังจากแวะซื้อกาแฟร้อนจากร้านสตาร์บัคส์แล้ว ฉันก็ขึ้นไปที่ห้องทำงานของตัวเอง บรรยากาศของเอคโค่เงียบเหงามาก โดยเฉพาะฝ่ายครีเอทีฟ พวกนี้ต้องทำงานร่วมกับฉัน แต่ส่วนมากชอบทำตัวเหมือนแวมไพร์ นิยมทำงานตอนค่ำมืด โดยให้เหตุผลว่าสมองจะลื่นไหลดีตั้งแต่หกโมงเย็นเป็นต้นไป ส่วนตอนเช้ากว่าจะมาทำงานได้ก็สิบโมงไปแล้ว ดังนั้นเช้านี้จึงเห็นเพียงลูกน้องในแผนกของตัวเองที่กำลังยืนเม้าท์กันเรื่องหนังที่ไปดูกันมาเมื่อวันหยุด หลังจากหยุดทักทาย ฉันก็เดินมาถึงห้องทำงานเล็กๆ ที่กั้นด้วยพาร์ทิชั่นของตัวเอง เหลือบไปเห็นโพสต์อิตสีเหลืองติดไว้ที่กระจกหน้าห้องจึงดึงออกมาดู ในนั้นเขียนว่า…
‘บัวบาน…
วันนี้สิบโมง คุยกันเรื่องกินรีก่อนเอาข้อมูลไปคุยกับพี่อี๊ด’
อ้อ คุณหนองน้ำนั่นเอง แหม ยังไม่ได้เป็นเจ้านายฉันเลยนะยะ เล่นจิกหัวกันตั้งแต่เช้า นี่แสดงว่าหล่อนมาทำงานแล้วสิ
นี่ไง คู่แข่งที่น่ากลัว ฉันว่าตัวเองทำงานเร็วแล้วนะ ยังมีคนที่เร็วกว่าซะอีก ฉันบอกให้ลูกน้องที่อยู่หน้าห้องโทรไปบอกยายน้ำด้วยว่ารับทราบเรื่องนัดประชุมเรียบร้อยแล้ว เพราะก่อนจะดื่มกาแฟ…ฉันยังไม่อยากคุยกับเธอ เดี๋ยวกาแฟไม่อร่อย
ตอนแรกฉันคิดว่าเราจะเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง แต่ปรากฏว่าการหารือเป็นไปได้ด้วยดี ความคิดหลายๆ อย่างของเราใกล้เคียงกัน เพียงแค่ปรับนิดหน่อยก็เข้ากันได้ (โดยเฉพาะเรื่องการโนบราของสัญลักษณ์นกกินรี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ถ้าต้องออกสื่อโทรทัศน์) ในขณะที่ยายน้ำกำลังอธิบายแนวคิดเพิ่มเติมนั้น ฉันก็แอบคิดว่าเธอจะกังวลเรื่องในอนาคตเหมือนฉันบ้างไหมนะ…บางทีเธออาจจะเชื่อมั่นว่าตัวเองจะเป็นผู้ชนะก็ได้ เพราะเธอไม่ได้แสดงท่าทางวิตกกังวลอะไรเลย แต่ฉันก็ไม่คิดจะถามเธอหรอก เสียฟอร์มเปล่าๆ หากเธอมั่นใจในตัวเอง ฉันก็ควรจะมั่นใจบ้างเหมือนกัน
หลังจากเราสรุปความคิดได้ในแนวทางเดียวกันแล้ว ฉันจะทำหน้าที่สรุปเป็นเอกสารเพื่อให้พี่อี๊ดอนุมัติเบื้องต้นก่อน จะได้นำไปคุยกับลูกค้าต่อไป เมื่อเราแยกย้ายกันที่หน้าห้องประชุมเพื่อกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ฉันเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่ไม่เห็นพนักงานประชาสัมพันธ์อยู่ สงสัยคงจะเข้าห้องน้ำ ฉันจึงเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้น
“มาส่งเอกสารเหรอจ๊ะ”
ฉันถามในขณะที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กคนนั้นไม่ได้ถือเอกสารอะไร นอกจากดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่
“สวัสดีครับ ที่นี่บริษัทเอคโค่ใช่ไหมครับ”
“ใช่จ้ะ”
“คือผมมาจากร้านบ้านดอกไม้ครับ คุณชลธรอยู่ไหมครับ”
ว้าว คุณหนูชลธรมีคนส่งดอกไม้ช่อใหญ่มาให้ซะด้วย ฉันจะไม่ยอมพลาดโอกาสพิเศษของเธอครั้งนี้แน่
“อยู่จ้ะ ฉันเซ็นรับแทนได้ไหม แล้วจะเอาไปให้เธอเอง”
“ได้ครับ” เด็กยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ มาให้ฉันเซ็นชื่อแล้วก็ลากลับไป