“ไม่ได้ครับ ผมทำให้ ก็คุณบัวถือแก้วมือหนึ่งแล้วยังถือกระเป๋าอีกมืออย่างนี้จะตักยังไงครับ”
เออ จริงด้วย…ลืมคิดไป
ฉันจึงต้องยอมตามข้อเสนอ เขาตักแซนด์วิชให้ฉันสองชิ้น ของตัวเองอีกสองชิ้น แล้วเราก็เดินมาหยุดที่โต๊ะตัวสูงตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่ เขาวางจานและเครื่องดื่มลง จากนั้นก็เดินไปหยิบส้อมเล็กๆ มาสองอัน ตอนแรกฉันยังอายที่ต้องทานแซนด์วิชในจานใบเดียวกับเขา แต่ถ้าไม่ทานก็ดูจะเสียมารยาทมากเพราะเขาอุตส่าห์ตักมาบริการถึงที่ เมื่อเราเริ่มทานแซนด์วิชชิ้นที่สอง รายการบนเวทีก็เริ่มขึ้นพอดี คนทยอยเบียดเข้ามาบริเวณหน้าเวทีกันเยอะขึ้น มีคนกระแทกฉันจนเซ คุณณัฐเอามือมาจับที่ข้อศอกของฉันไว้ทันก่อนที่ฉันจะล้มคว่ำลงไป
“เจ็บไหมครับ มายืนด้านในดีกว่า”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันสลับที่ยืนกับคุณณัฐ
มีคนในวงการบันเทิงจำนวนมากที่มางานในคืนนี้ ช่างภาพจากโทรทัศน์และนิตยสารฉบับต่างๆ ก็มาทำข่าวกันแทบทุกสำนัก เจ้าของนิตยสารขึ้นไปกล่าวขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงาน รวมถึงสปอนเซอร์ที่สนับสนุนหนังสืออยู่ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งบริษัทที่ให้การสนับสนุนรายใหญ่หนึ่งในนั้นคือบริษัทนิมมานนท์ ฉันรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินข้อมูลใหม่ๆ นี้จึงหันไปมองหน้าคุณณัฐ
“อะไรครับ” เขาทำหน้าตาบ้องแบ๊ว
“บริษัทของคุณสนับสนุนนิตยสารด้วยเหรอคะ”
“ครับ เรียกว่าช่วยเหลือกันดีกว่า เราทำธุรกิจขายสินค้าก็ต้องมีสื่อไว้โฆษณาบ้าง แล้วนิมมานนท์เองก็ขายสินค้าหลายประเภท บางชนิดคนอาจจะนึกไม่ถึงว่าเป็นของเรา หรือบางธุรกิจเราแค่เข้าไปเป็นหุ้นส่วนเล็กๆ ก็มีครับ”
“แล้วคุณดูแลธุรกิจอะไรบ้างคะ”
“ผมคิดว่าคืนนี้เราจะไม่คุยกันเรื่องงานซะอีก” เขาทำหน้าเบ้เหมือนเด็กที่ไม่อยากทานผัก
“ขอโทษค่ะ ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ดิฉันแค่สงสัยว่าในเมื่อนิมมานนท์กว้างขวางในวงการสื่อสารมวลชน ทำไมจึงเลือกให้เอคโค่ที่เป็นบริษัทเล็กๆ ทำประชาสัมพันธ์ให้เท่านั้นเองค่ะ” ฉันรู้สึกผิดที่ไปรบกวนเขา
“ผมเล่าให้ฟังคร่าวๆ ก็ได้ ตอนนี้ผมดูแลโครงการกินรีอย่างเดียวครับ ก่อนจะเข้ามาทำงานกับนิมมานนท์ ผมมีสัญญากับบริษัทว่าต้องทำโครงการกินรีให้ประสบความสำเร็จให้ได้ แล้วคุณสินธรซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของนิมมานนท์ท่านก็ได้แนะนำให้ผมรู้จักกับคุณอาจอง เราก็เลยได้คุยกันว่าถ้าเอคโค่เข้ามารับผิดชอบโครงการนี้ให้เราได้ เราก็จะยินดีมากเท่านั้นเองครับ อีกอย่างเอคโค่ถึงจะเป็นบริษัทเล็ก แต่ก็มีคนที่มีความสามารถมากไม่ใช่เหรอครับ”