With Love
ทดลองอ่าน กลับมารักกันอีกครั้ง บทที่ 1
เซี่ยงหยวนชักสงสารชายหนุ่มคนนี้ ขณะที่เธอกำลังไล่ดูบัญชีที่เกาเหลิ่งติดตามอย่างตื่นเต้น จู่ๆ คนขับรถก็จอดรถข้างทางแล้วลงจากรถไปคนเดียว
เกาเหลิ่งที่นั่งอยู่เบาะหลังตื่นตัวทันที เขาโผกอดผู้ชายท่าทางเย็นชาที่นั่งอยู่ข้างๆ “อย่าบอกว่าเราหลงขึ้นรถเถื่อนมานะ คราวก่อนได้ยินพวกเหล่าหยางบอกว่าตอนแชร์รถกลับมาถูกคนขับฟันเงินซะเละเลย เขาจอดรถทิ้งไว้ข้างทางแบบนี้แหละ ถ้าไม่เพิ่มเงินให้ก็ไม่ยอมไป เราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง”
สวีเยี่ยนสือแกะมืออีกฝ่ายออกอย่างรังเกียจ ยังคงทำหน้าซังกะตายเหมือนเดิม “งั้นก็เดินกลับสิ ฟ้าสางก็คงถึงพอดี”
เกาเหลิ่งก่นด่า “นายไม่นึกถึงฉันก็ไม่เป็นไร แต่นายต้องนึกถึงเด็กบ้างสิ…” จากนั้นเขาก็เหลือบมอง ‘มัมมี่’ เซี่ยงหยวนที่นั่งอยู่เบาะหน้าด้วยท่าทีสงสัยระคนกล้าๆ กลัวๆ ก่อนกระซิบข้างหูสวีเยี่ยนสือ “คนคนนี้ปิดหน้าซะมิดชิดขนาดนี้ นายว่าจะเป็นพวกเดียวกับคนขับหรือเปล่า”
“ก็อาจเป็นไปได้” ในที่สุดสวีเยี่ยนสือก็ปรายตามองเธอด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์
จู่ๆ เซี่ยงหยวนก็นึกอยากแกล้งคนขึ้นมา เปลวไฟแห่งความชั่วร้ายลุกโหมขึ้นอย่างแรง เธอหันขวับไปแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายให้เกาเหลิ่ง แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่จะเล่นละครทั้งทีก็ต้องแสดงอารมณ์ให้เต็มที่ เพราะเธอเรียนจบสาขาวิทยุกระจายเสียงและพิธีกรจึงสามารถเลียนเสียงได้อย่างสบายๆ เมื่อก่อนตอนว่างๆ ก็เคยพากย์เสียงให้กับผลงานละครวิทยุชื่อดังมาบ้าง แม้จะเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่เรื่องไร้สาระทั้งหลายเป็นของถนัดเธอเลยล่ะ
“รถเถื่อนเหรอ” เซี่ยงหยวนกดเสียงให้ต่ำแล้วพูดต่อ “คุณคิดมากไปแล้ว” ขณะที่เกาเหลิ่งกำลังจะถอนหายใจอย่างโล่งอกก็ได้ยินเธอพูดขึ้นมาอีก “เราเป็นโจรดักปล้นต่างหากล่ะ”
“ปะๆๆๆๆๆ…ปล้นเหรอ!”
เสียงตะโกนร้องแสบแก้วหูที่สามารถทำลายความเงียบสงบยามค่ำคืนแต่ช้าไปหลายชั่วอึดใจดังขึ้น
เซี่ยงหยวนยังไม่ทันจะพูดว่า ‘ปล้นความหล่อ’ ทั้งสี่คนก็ถูกไล่ลงจากรถเสียแล้ว คนขับบอกว่ายางระเบิด เขาโทรเรียกกู้ภัยมาจัดการแล้ว และให้พวกเขาไปหารถใหม่เอาเอง
หญิงสาวสำรวจดูรอบๆ ก็เห็นว่ามืดตึ๊ดตื๋อไปหมด ใบไม้บนต้นไม้ร่วงโกร๋นจนไม่เหลือแม้แต่ใบเดียว ดูทุรกันดารยิ่งกว่าเขตปลอดคนในมณฑลกานซู่ที่เธอไปมาเมื่อปีที่แล้วเสียอีก เธอมองดูชายสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่ยืนอยู่ริมถนน เขาทำหน้าเซ็งๆ เหมือนไม่ค่อยอยากลงจากรถ
หลังจากที่คนขับเร่งเร้าอยู่หลายครั้ง เซี่ยงหยวนจึงจำใจคลำหาทางลงจากรถ
พวกสวีเยี่ยนสือเรียกรถได้แล้ว เกาเหลิ่งเห็นเซี่ยงหยวนเดินลงมาจากรถเหมือนคนตาบอดที่เพิ่งหัดเดินจึงเกิดความเห็นใจ แม้ผู้หญิงคนนี้จะคลุมศีรษะเสียมิดชิด ท่าทางดูประหลาดพิลึก แถมเมื่อครู่นี้ยังพูดจาข่มขู่ให้เขาตกใจ แต่ช่วยไม่ได้ที่เขาเป็นเทพบุตรผู้มีจิตใจดีงามจึงเอ่ยถาม “คุณจะไปกับพวกเราด้วยไหม ที่นี่เรียกรถยากนะ เพิ่มมาอีกคนถือว่าช่วยแชร์ค่ารถแล้วกัน” ประเด็นหลักก็คือต้องการหาคนมาช่วยแชร์ค่ารถนั่นเอง
พอเกาเหลิ่งถามจบ สวีเยี่ยนสือก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาส่งข้อความหาใครสักคนด้วยมือข้างเดียว นิ้วมือเรียวยาวของเขาพิมพ์อย่างรวดเร็ว ท่าทางเย็นชาเหมือนทองไม่รู้ร้อน เซี่ยงหยวนคิดๆ ดู ระยะทางแค่สิบกว่านาทีก็ไม่นานนัก จึงเม้มปากแล้วใช้มือทำท่าโอเค
“งั้นเพิ่มเพื่อนในวีแชตกันเถอะ เดี๋ยวคุณโอนค่ารถให้ผมแล้วกัน” เกาเหลิ่งเปิดคิวอาร์โค้ดในวีแชตของตัวเองแล้วยื่นให้เซี่ยงหยวน จากนั้นก็รีบอธิบายต่อ “คุณอย่าคิดมากนะ ผมมีแฟนอยู่แล้ว ไม่ได้คิดจะจีบคุณหรอก หรือว่าคุณมีเงินสดล่ะ”
เซี่ยงหยวนไม่ได้พกเงินสดมาจึงได้แต่กลอกตาค้อนแล้วเพิ่มเพื่อนในวีแชตของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ แต่เธอดันลืมไปว่าตัวเองใช้ชื่อจริงเป็นชื่อวีแชต แถมคนเซ่อเกาเหลิ่งยังจ้องมือถือพลางทวนซ้ำเพื่อยืนยันอีกรอบ
“ชื่อเซี่ยงหยวนใช่ไหม”
สวีเยี่ยนสือที่ก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ข้างๆ คงจะรู้สึกคุ้นหูกับชื่อนี้ เซี่ยงหยวนเห็นเขาเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองจอมือถือของเกาเหลิ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วมองเลยมาที่เธอ วินาทีต่อมาเขาก็หัวเราะเยาะด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นก็กลับไปจ้องที่มือถือตัวเองต่อ
เซี่ยงหยวนพยายามข่มความรู้สึกอยากจะทุบศีรษะของเขาให้แตกเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกตัวเองให้ใจเย็นถึงสามรอบ
เกาเหลิ่งได้ยินเสียงหายใจเข้าแผ่วเบาของเธอจึงถามขึ้นมา “มีอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก หมวกมันแน่นไปหน่อยน่ะ” เซี่ยงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ
เกาเหลิ่งหัวเราะ “ก็ใครใช้ให้คุณพันหัวไว้แน่นแบบนั้นล่ะ คิดว่าพวกเราเป็นคนร้ายเหรอ นึกว่าตัวเองสวยมากหรือไง”
เซี่ยงหยวนพูดเรียบๆ “ดูดีกว่าคุณก็แล้วกัน”
“แต่ไม่ว่ายังไงก็ดูดีสู้นางฟ้าของผมไม่ได้หรอก” เกาเหลิ่งบ่นพึมพำ
“นางฟ้าของคุณเป็นใครเหรอ” เซี่ยงหยวนถามขึ้นทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก
“Ashers ไง! ผู้ได้รับสมญานามว่าต๋าจี่ ไมโครเวฟที่ยังมีชีวิตอยู่”
หือ? เซี่ยงหยวนไม่คุ้นกับฉายานี้ของตนเอง รู้สึกว่าเธอไม่เคยใช้ไอดีแบบนี้มาก่อน
เกาเหลิ่งกระซิบข้างหูเธอเบาๆ “เธอเรียกตัวเองว่าต๋าจี่เบอร์หนึ่ง ได้ยินว่าเป็นพวกหน้าอกแฟบ แฟนคลับก็เลยเรียกเธอด้วยความสนิทสนมว่าต๋าจี่ไมโครเวฟที่ยังมีชีวิตอยู่ จริงสิ คุณเล่นเกมหรือเปล่า”
“ไม่เล่น”
ทันใดนั้นเกาเหลิ่งก็รู้สึกเหมือนโดยรอบมีลมหนาวพัดขึ้นมาวูบหนึ่ง ทำไมเสียงของผู้หญิงคนนี้ถึงให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสียจริง จู่ๆ ก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาจึงพูดงึมงำ
“ไม่เล่นก็ไม่เล่นสิ ทำไมต้องดุด้วย”
เซี่ยงหยวนหมดคำพูด
เกาเหลิ่งพูดต่อไปอีก “ลูกพี่ผมก็ไม่เล่นนะ ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตของคนที่ไม่เล่นเกมอย่างพวกคุณจะมีความหมายอะไร บอกตามตรงเลยนะ หน้าตาอย่างลูกพี่ผม ถ้าไปเป็นนักแคสต์เกม รับรองว่ารายได้เดือนละเป็นล้านอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่เสียดายที่เขาเล่นเกมห่วยมาก”
“เยี่ยมไปเลย” เซี่ยงหยวนพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
เกาเหลิ่งได้ยินไม่ชัดจึงถามอีกครั้ง “คุณว่าอะไรนะ”
เซี่ยงหยวนพูดแล้วถือโอกาสแอบชมตัวเองไปด้วย “ฉันบอกว่าหน้าตาเขาหล่อซะขนาดนั้น ถ้าเป็นราชาเกมเมอร์เหมือนกับนางฟ้าของคุณ คนอื่นคงต้องไปตายกันหมดแน่นอน”
ผ่านไปครู่หนึ่งเกาเหลิ่งรู้สึกว่าที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลดี จึงพยักหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“งั้นดูท่าแล้ว Ashers คงไม่ใช่หญิงแท้แน่ๆ”
ไปตายซะเถอะ! เซี่ยงหยวนแอบด่าในใจ
จากนั้นเกาเหลิ่งก็ส่งข้อความเสียงไปหาแฟนสาวของตัวเองอยู่ข้างๆ เซี่ยงหยวน “ที่รักจ๋า พวกเราใกล้ถึงแล้วล่ะ”
เซี่ยงหยวนได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมา “แล้วสวีเยี่ยนสือล่ะ”
เกาเหลิ่งแสร้งทำทีหึงหวงพลางกล่าว “ทำไมเธอเอาแต่ถามถึงสวีเยี่ยนสืออยู่ได้ เขาตายไปแล้ว”
ผู้ชายคนนั้นยังคงจ้องมองมือถืออย่างใจจดใจจ่อ ไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินเข้าก็เอามือไปยันท้ายทอยของเกาเหลิ่ง เกาเหลิ่งรู้ทันอยู่แล้วจึงหัวเราะพลางหลบด้วยความเจ้าเล่ห์ สวีเยี่ยนสือชักรู้สึกรำคาญ จึงยกเท้าถีบก้นอีกฝ่ายแล้วดึงหมวกที่หลังขึ้นมาคลุมศีรษะ จากนั้นก้มหน้าดูมือถือต่อ แสงจากจอมือถือกระทบใบหน้าเขา ทำให้สีหน้าดูเย็นเยียบอย่างบอกไม่ถูก
ผู้หญิงในวีแชตก็โมโหแล้วเหมือนกัน “ออเดอร์ของเหว่ยเต๋อถูกตีกลับมาอีกแล้ว! เครื่องตรวจจับที่นายขายล็อตก่อนเกิดปัญหาแล้ว นายรู้หรือเปล่า! ฉันคอยตามล้างตามเช็ดให้นายจนถึงตอนนี้ ความสามารถของฉันมีจำกัด โมเดลเวอร์ชั่นนี้หยุดผลิตไปตั้งนานแล้ว ทางฝั่งเหล่าเหลียงก็คุมเข้มมาก แล้วจะให้ฉันไปหาบอร์ดความแม่นยำสูง รุ่นนี้มาจากไหน สวีเยี่ยนสือสนิทกับเหล่าเหลียงไม่ใช่เหรอ ให้เขาลองถามดูว่ามีวิธีอื่นอีกไหม”
เสียงที่ดังมาจากลำโพงจบลง
ขณะที่เกาเหลิ่งตีหน้าเศร้ามองสวีเยี่ยนสือตาละห้อยอยู่นั้น ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมละความสนใจจากมือถือแล้วพูดเสียงเรียบ
“ให้เธอส่งรุ่นมา”
“ได้เลย” เกาเหลิ่งเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว รีบเปิดวีแชตอีกครั้งด้วยท่าทีโล่งอก “ที่รักจ๋า ลูกพี่ให้เธอส่งรุ่นมาน่ะ เขาน่าจะมีหนทางอยู่”
อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเร็วมากเช่นกัน “ได้เลย”
ผ่านไปครู่หนึ่งข้อความเสียงอีกข้อความหนึ่งก็ดังตามมา “บอกสวีเยี่ยนสือว่าชาตินี้เขาหมดโอกาสแล้วล่ะ แต่ชาติหน้าต้องให้ฉันตอบแทนด้วยตัวฉันนะ” พอพูดจบผู้หญิงก็หัวเราะ
แต่คราวนี้เกาเหลิ่งกลับโมโหจริงๆ
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้ความคิดของเธอ จะล้อเล่นก็ได้ แต่มุกที่ไม่มีกาลเทศะแบบนี้ ถ้ามีครั้งที่สองอีกเราสองคนจบกัน” เกาเหลิ่งพูดใส่มือถือด้วยสีหน้าขุ่นเคือง