With Love
ทดลองอ่าน กลับมารักกันอีกครั้ง บทที่ 2
ไล่เฟยไป๋พูดอย่างเลือดเย็นและไร้ความปรานี “มีธุระอะไรอีกไหมครับคุณหนูใหญ่ งานทางนี้ยุ่งมากจริงๆ”
พูดไปก็เท่านั้น เซี่ยงหยวนชิงตัดสายทิ้งก่อนด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี
ไล่เฟยไป๋ควบคุมสีหน้าให้เรียบร้อยก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไปในห้องทำงาน
โซฟาที่ตั้งอยู่ข้างหลังประตูมีชายชราที่ดูจากใบหน้าแล้วสมัยหนุ่มน่าจะหล่อเหลาเอาการนั่งอยู่ แต่ตอนนี้ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความรำคาญเหมือนกำลังพูดว่า ‘ทำไมถึงไม่มีใครมารับช่วงดูแลบริษัทต่อจากฉันเลย ทำไมฉันถึงมีแต่ลูกหลานอกตัญญูทั้งนั้น’ เขาถือน้ำชาไว้ในมือ ขณะที่มือขวาค่อยๆ เอาฝาถ้วยชาเกลี่ยระบายความร้อนอยู่ก็ปรายตามองไปที่หน้าประตู แล้วจึงยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนถาม
“เซี่ยงหยวนไปรายงานตัวแล้วเหรอ”
ไล่เฟยไป๋โค้งตัวเล็กน้อยแล้วรายงาน “ใช่ครับ เธอโทรมาถามผมเรื่องประวัติส่วนตัวครับ”
ชายชราทำเสียงฮึดฮัด “เธอยังมีหน้ามาถามอีก สภาพตัวเองเป็นยังไงไม่รู้หรือไง” สงสัยเพราะกินใบชาเข้าไปเขาจึงคายออกมาแล้วบ้วนกลับไปในถ้วยชา จากนั้นก็พูดต่อ “จริงสิ เฉินซานกับสวีเยี่ยนสือคนนั้นเกี่ยวข้องเป็นอะไรกัน ทำไมถึงได้ปกป้องเขานักหนา”
“ผมให้คนไปสืบดูแล้วครับ ทั้งสองคนไม่มีความสัมพันธ์ผิดปกติอะไรกันเลย สวีเยี่ยนสือเป็นคนที่เฉินซานไปแย่งตัวมาจากเหว่ยเต๋อสมัยไปรับสมัครนักศึกษาจบใหม่ในมหาวิทยาลัย ได้ยินว่าตอนนั้นผู้ชายคนนี้เกือบจะได้เซ็นสัญญากับเหว่ยเต๋อแล้ว แต่ถูกเฉินซานชิงตัดหน้าแย่งตัวมาได้ซะก่อน”
เหว่ยเต๋อเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงแห่งเดียวในประเทศที่ทำเทคโนโลยีระบุตำแหน่งจีเอ็นเอสเอส ถือได้ว่าเหว่ยเต๋อเป็นจีพีเอสของจีน เงื่อนไขในการรับสมัครพนักงานขั้นต่ำต้องวุฒิปริญญาโทที่จบจากมหาวิทยาลัยโครงการ 211* แต่เขาสามารถเซ็นสัญญากับเหว่ยเต๋อตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี แสดงว่าตอนนั้นเด็กคนนี้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ
ชายชราไม่ค่อยเชื่อนัก หลักๆ คือเขาไม่เชื่อเฉินซาน “เฉินซานมีความสามารถขนาดนี้เลยเหรอ”
ไล่เฟยไป๋ยักไหล่เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ช่างเถอะ บอกเฉินซานว่าอย่ายึดติดเกินไป ถึงเวลาปล่อยก็ต้องหัดรู้จักปล่อยบ้าง คนเราจะมีชีวิตอยู่ได้สักกี่ปีกันเชียว!”
พูดจบไล่เฟยไป๋ก็เห็นเขาลุกจากโซฟา แล้วทำท่าฉีกขาแบบมาตรฐานโดยการสไลด์ตัวลงไปนั่งกับพื้น ไล่เฟยไป๋ดูไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นเลยสักนิด
“นายท่านตัวอ่อน อายุยืนหมื่นปี”
ณ เมืองลี่โจว เวลาสี่โมงเย็นทุกคนกลับถึงบริษัทตรงตามเวลา
เซี่ยงหยวนนั่งอยู่ในห้องผู้จัดการอยู่พักหนึ่ง ผู้จัดการชื่อว่าหลี่หย่งเปียว อายุราวๆ สี่สิบปี หน้าตาธรรมดา หน้าผากแคบเล็กแต่ดูฉลาด คิ้วหนาตาเข ตั้งแต่ทรงผมที่หวีด้วยน้ำมันจนมันวาวของเขาตลอดจนรองเท้าคัตชูที่ขัดจนขึ้นเงา ทั่วทั้งร่างและเส้นผมทุกเส้นล้วนบ่งบอกว่าเขาเป็นคนรู้จักเอาตัวรอด…บนหน้าผากเขียนไว้ว่า ‘รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง’
ตอนที่เฉินซานส่งประวัติส่วนตัวของเซี่ยงหยวนมาให้ หลี่หย่งเปียวก็นึกว่าเป็นเรื่องล้อเล่นจึงปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล เพราะเดิมทีปีที่แล้วทางสำนักงานใหญ่ก็ส่งหลานสาวรองหัวหน้าสักคนมาที่นี่เหมือนกัน แต่ทำงานอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง มาสายกลับเร็วทุกวัน คอยรบกวนเพื่อนร่วมงานคนอื่นอยู่เรื่อย พอถูกหัวหน้าดุหน่อยก็ไปฟ้องสำนักงานใหญ่ ทำให้โบนัสประจำปีเมื่อปีที่แล้วของบริษัทลูกถูก ‘หัก’ แบบไม่รู้สาเหตุ หลี่หย่งเปียวเป็นคนเจนโลก จึงหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเด็กเส้นพวกนี้เสมอ แต่เฉินซานมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้มาก แม้ไม่ได้พูดออกมาชัดๆ แต่ก็ทำให้เขาพอจะรู้ว่าเด็กคนนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดาแน่นอน
เกรงว่าประวัติของเธออาจจะยิ่งใหญ่กว่ายายหลานสาวรองหัวหน้าคนนั้นเสียอีก เขาจึงได้แต่รับแม่เจ้าประคุณคนนี้ไว้ทั้งน้ำตา
แล้วตอนนี้แม่เจ้าประคุณก็กำลังเลือกนู่นเลือกนี่อยู่ในห้องทำงานของเขา ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่ เขากำลังตัดสินใจว่าจะใช้น้ำเสียงแบบไหนพูดคำว่า ‘coffee or tea?’ ออกมาให้ดูไม่เป็นการประจบสอพลอจนเกินไป แต่พอหันกลับไปมองอีกทีก็เห็นเซี่ยงหยวนหยิบไม้เบสบอลที่เขาเสียบไว้ในแจกันหน้าประตูขึ้นมาพอดี
เขารีบพูดขึ้น “แม่เจ้า…เอ้ย เสี่ยวเซี่ยง มาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ แล้ว เด็กใหม่ก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะปรับตัว ความรุนแรงแก้ไขปัญหาไม่ได้หรอกนะ แผนกเทคโนโลยีมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น อีกทั้งอายุยังหนุ่มๆ กันอยู่ พวกเขาไม่ยอมคุณก็เป็นเรื่องธรรมดา นอกจากสวีเยี่ยนสือแล้วพวกเขาไม่ยอมรับใครทั้งนั้น ปกติฉันเองยังถูกเจ้าพวกนั้นเมินใส่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนคุมสลิปเงินเดือนของพวกเขา สงสัยคงโดนด่าในโมเมนต์จนยับไปนานแล้ว” หลี่หย่งเปียวพยายามระบายความอัดอั้นตันใจของตนเองกับเธอเพื่อให้หญิงสาววางดาบลงกลายเป็นพระอรหันต์ * เสีย
ที่จริงเซี่ยงหยวนเคยอ่านเจอโมเมนต์ที่เกาเหลิ่งแอบนินทาหลี่หย่งเปียวเหมือนกัน แต่สงสัยว่าสเตตัสนั้นคงบล็อกเขาไว้แค่คนเดียว
‘หัวหน้าคนอื่น แอร์เมส หลุยส์ วิตตอง รองเท้าหนังสั่งตัดพิเศษจากอิตาลี เหล่าหลี่ของเราไม่มีปัญญาใส่ เรียกว่าหัวหน้าที่ด้อยคุณภาพของแท้ แต่ยังดี ได้ยินว่าหัวหน้าหลายๆ คนเริ่มโยนรองเท้าหนังทิ้งกันแล้ว โชคดีที่เหล่าหลี่ของเรายังไม่ได้ทำแบบนั้น ร่ำรวยแล้ว’
เซี่ยงหยวนค่อยๆ เสียบไม้เบสบอลกลับเข้าที่เดิม ก่อนตบมือปัดฝุ่นอย่างไม่ใส่ใจนัก เธอหัวเราะแล้วพูด “พวกเขายอมรับสวีเยี่ยนสือก็พอแล้ว จริงสิ มีเรื่องหนึ่งอยากขอให้คุณช่วยหน่อย ฉันขอดูประวัติส่วนตัวของสวีเยี่ยนสือได้ไหมคะ”
หลี่หย่งเปียวนิ่งไปชั่วขณะ “ประวัติส่วนตัวของพนักงานถูกเก็บไว้ที่สำนักงานใหญ่ คุณจะเอาประวัติส่วนตัวเขาไปทำอะไร เยี่ยนสือไม่เหมือนคุณ เขาเรียนด้านนี้มา คุณแข่งกับเขาไปก็เท่านั้น เพราะทั้งแผนกฟังเขาแค่คนเดียว หลายๆ อย่างแม้แต่หัวหน้าแผนกเองก็ยังไม่รู้เลย”
“ก็ได้ ฉันจะไปขอกับเฉินซานแล้วกัน ไว้ว่างๆ มาเล่นเบสบอลด้วยกันนะ ผู้จัดการหลี่” เซี่ยงหยวนยิ้มให้เขาพร้อมกล่าว “พวกเขาน่าจะกลับมากันแล้วมั้ง”
หลี่หย่งเปียวคิดว่าหญิงสาวคนนี้ดูน่าเกรงขามมาก เวลาพูดก็คล้ายกับใครสักคน แต่พอคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะได้ยินว่าหลานสาวท่านประธานใหญ่มีนิสัยดื้อด้าน แล้วจะมาที่นี่ได้อย่างไร อีกทั้งเขาก็เคยเจอท่านประธานใหญ่แค่ครั้งเดียว จึงไม่รู้เลยว่าหลานสาวท่านประธานใหญ่ชื่ออะไร
นอกจากนี้เขาก็จำได้แม่นว่าชื่อเดิมของท่านประธานใหญ่คือซือถูหมิงเทียน
เซี่ยงหยวนเห็นเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ จึงเอื้อมมือไปโบกข้างหน้าเขาด้วยสีหน้างุนงง “ผู้จัดการหลี่?”
หลี่หย่งเปียวได้สติกลับมา สลัดความคิดเพ้อเจ้อทิ้งไปแล้วก้มหน้ามองนาฬิกา จากนั้นก็หยิบเอกสารขึ้นมาพร้อมรีบสาวเท้าเดินนำหน้าออกไป
“ใกล้เวลาแล้ว ผมจะพาคุณลงไปแนะนำให้เพื่อนร่วมงานรู้จัก”
ความจริงแล้วเกาเหลิ่งไม่ได้เห็นประวัติส่วนตัวของเซี่ยงหยวนอย่างละเอียด ที่เขารู้เรื่องว่าจะมีพนักงานใหม่เข้ามาก็เพราะเพื่อนร่วมงานแผนกบุคคลแคปประวัติการทำงานและรางวัลที่เคยได้รับซึ่งระบุในประวัติสมัครงานของเซี่ยงหยวนมาโพสต์ในแชตกลุ่ม เขาจึงไม่รู้เลยว่าพนักงานใหม่ที่ว่านี้คือผู้หญิงที่เขาเพิ่งได้เจอหน้าเมื่อหลายวันก่อน และดู ‘มีความสัมพันธ์อันคลุมเครือ’ กับลูกพี่อีกด้วย
ดังนั้นก่อนจะเริ่มประชุมอย่างเป็นทางการ เกาเหลิ่งเดินออกจากห้องน้ำแล้วบังเอิญเจอกับเซี่ยงหยวนที่เดินออกจากห้องน้ำเหมือนกัน เขาจึงจับจ้องไปที่เธออย่างมีมารยาทแวบหนึ่งด้วยความชื่นชมผู้หญิงสวย
พอกลับมาถึงแผนกเทคโนโลยีสวีเยี่ยนสือยังคงคลุมเสื้อสีดำไว้บนศีรษะ ฟุบนอนอยู่กับที่นั่งของตัวเองอย่างสบายอารมณ์ เกาเหลิ่งเห็นเช่นนี้จึงบ่นพึมพำ
“ไม่รู้ว่าจะนอนไปทำไมเยอะแยะ เอาเวลาตอนกลางคืนไปทำอะไรหมด ไอ้หนุ่มโสดเอ๊ย”
ปรากฏว่าถูกบอร์ดความแม่นยำสูงที่ลอยมากะทันหันกระแทกใส่ศีรษะเข้าอย่างจัง เกาเหลิ่งรู้สึกหัวร้อนกำลังจะระเบิดอารมณ์อยู่พอดี ทันใดนั้นก็หันไปเห็นสวีเยี่ยนสือตื่นขึ้นมา เขาดึงเสื้อออกจากศีรษะและโยนใส่โต๊ะพร้อมกับแว่นตา กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวดคลึงดั้งจมูกเพื่อเรียกสติ
“เอากลับมา”
“ได้เลยครับ”
เกาเหลิ่งไม่กล้ามีเรื่องกับสวีเยี่ยนสือ เขาเป็นคนประเภทที่เวลาอยู่ลับหลังสามารถโพสต์สเตตัสด่าเจ้านายอย่างได้อารมณ์และสะใจ แต่พอเจอหน้าเจ้านายจริงๆ ก็กลายร่างเป็นเด็กใหม่ในที่ทำงาน ปั้นหน้ายิ้มประจบสอพลอ ชูหมัดทำท่าสู้ๆ เหมือนกับบอกว่า ‘วันนี้ต้องพยายามทำงานเข้านะ ทาเคชิ’
“เมื่อกี้ฉันเห็นเด็กใหม่ที่หน้าห้องน้ำแล้ว”
สวีเยี่ยนสือไม่ค่อยสนใจนัก นำแว่นตากลับมาสวมแล้วตอบ “อ้อ” เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง
“เป็นผู้หญิงซะด้วย!”
สวีเยี่ยนสือเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ เหลือบตามองเกาเหลิ่งด้วยสีหน้าออกจะรำคาญ เหมือนกำลังพูดว่า ‘นายจะพูดจบหรือยัง พูดจบแล้วก็ไสหัวไปซะ’
“ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเธอมากเลย แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน เมื่อกี้นี้เธอยิ้มให้ฉันด้วยนะ บ้าจริงๆ ฉันไม่รู้จักเธอสักหน่อย จะยิ้มหาแป๊ะอะไร อย่านึกว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมรับนะ หน้าตาเธอถือว่าสวยกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่ฉันรำคาญเด็กเส้นพวกนี้ที่สุด ว่าแต่ฉันเคยเจอเธอที่ไหนนะ”
สวีเยี่ยนสือพูดอย่างไม่ไว้หน้า “ในวีแชตนายมีผู้หญิงตั้งหนึ่งพันแปดร้อยแปดสิบแปดคน แล้วนายมาถามฉันเนี่ยนะ”
ประกายความคิดลุกโชน! จู่ๆ เกาเหลิ่งก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขารีบหยิบมือถือออกมา “รอเดี๋ยวนะ ฉันอาจจะรู้จักผู้หญิงคนนี้จริงๆ!”
ตอนนั้นสวีเยี่ยนสือคิดจะพูด ‘นายอย่าทำตัวเหมือนกระต่ายตื่นตูมได้ไหม’
“นายยังจำผู้หญิงที่แชร์รถกับเราในคืนนั้นได้หรือเปล่า รู้สึกว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนกับนายด้วย เธอแอบชอบนายหรือว่านายแอบชอบเธอนี่แหละ เอาเป็นว่าบรรยากาศตอนนั้นกระอักกระอ่วนสุดๆ เลย แต่พอฉันเห็นสีหน้านายในตอนนั้นก็ไม่กล้าถามมาก ได้แต่เลื่อนดูโมเมนต์ของเธอ แล้วไปเห็นรูปถ่ายของเธอเข้า” เสียงของเกาเหลิ่งทั้งดังและก้องกังวาน “คนนี้คือแฟนเธอใช่ไหม ดูแก่ไปหน่อยนะ”
สวีเยี่ยนสือกวาดตามองอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่”
“นายรู้ได้ไงว่าไม่ใช่ แล้วยังจะบอกว่าไม่ได้แอบชอบเธออีก คืนนั้นพอฉันเห็นสีหน้าของนาย ฉันก็รู้แล้วว่านายจะต้องแอบชอบเธอแน่ๆ!”
“เพราะคนนี้เป็นครูประจำชั้นสมัย ม.ปลาย ของยายนั่น เจ้าโง่”
เกาเหลิ่งขานรับว่า “อ้อ” แล้วก็ดูรูปต่อไป “งั้นคนนี้ต้องใช่แน่ หน้าตาหล่อดีนะ”
“คนนี้คือพี่ชายของเธอ”
ในที่สุดเกาเหลิ่งก็ได้ทีล้อเขา จึงจ้องสวีเยี่ยนสืออย่างมีเลศนัย “รู้เยอะนะเราเนี่ย ขนาดพี่ชายเธอยังรู้จักเลย”
สวีเยี่ยนสือขี้เกียจสนใจเขาอีก จึงหัวเราะเยาะเย้ยแล้วเบือนหน้าหนี “เจ้าโง่”
“นายยิ่งด่าฉันว่าโง่ก็แสดงว่านายตื่นเต้นมาก ครั้งก่อนที่นายด่าฉันว่าโง่คือตอนไหนรู้ไหม ตอนที่นายไปสัมภาษณ์งานกับเหว่ยเต๋อ ตอนนั้นฉันรู้ว่านายเป็นเด็กปริญญาตรีเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์ไปสัมภาษณ์กับเหว่ยเต๋อ ฉันวิ่งไปให้กำลังใจนายที่ห้องสมุดอย่างตื่นเต้น แต่โดนนายด่าว่าเจ้าโง่ นายบอกฉันทีหลังว่าที่จริงตอนนั้นนายตื่นเต้นมาก ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรถึงได้หลุดพูดคำว่าเจ้าโง่ออกไป” เกาเหลิ่งพูดจบแบบไม่เว้นจังหวะหายใจ สุดท้ายก็ใช้นิ้วกลางดันแว่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย จ้องมองเพื่อนอย่างภาคภูมิใจเหมือนกำลังอวดฉลาด “ที่กระผมเอโดงาวะ เกาเหลิ่งพูดมาถูกหรือเปล่า”
บรรยากาศเงียบงันไปทันที จากนั้นก็มีคนเดินมาที่หน้าประตูและตะโกนว่าประชุมได้แล้ว
สวีเยี่ยนสือหยิบเสื้อขึ้นมาแล้วลุกขึ้นยืน ผลักศีรษะเกาเหลิ่งแล้วกล่าวเตือน “โมเมนต์ที่นายโพสต์เมื่อกี้นี้ได้บล็อกเธอไว้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้บล็อกนายก็อย่าเข้าประชุมเลย เพราะนายอาจไม่มีชีวิตรอดออกมาก็ได้”
พูดจบเกาเหลิ่งก็แข็งเป็นหินไปทันที ได้แต่ยืนทำหน้าเหลอหลามองดูร่างสูงชะลูดและสง่างามนั้นเอาเสื้อพาดหลังแล้วสาวเท้าก้าวเดินออกไป