With Love
ทดลองอ่าน กลับมารักกันอีกครั้ง บทที่ 2
เซี่ยงหยวนมาถึงก่อนเป็นคนแรก เธอนั่งอยู่ในห้องประชุมครู่หนึ่ง รอให้คนทยอยมาจนครบ
หญิงสาวมีความอดทนสูงมาก จึงนั่งเล่นเกมไขปริศนาอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ ทุกคนไม่ได้แสดงท่าทีสนิทสนมกับเธอ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความอยากรู้อยากเห็น ผู้ชายส่วนใหญ่เพียงแค่ปรายตามอง พอแน่ใจว่าเป็นสาวสวยก็หันกลับไปคุยเรื่องเกมต่อ ส่วนผู้หญิงกวาดตาพิจารณาเธอไปมาอยู่หลายหน แถมยังเม้าท์กันในแชตกลุ่มย่อยอีกด้วย
เสี่ยวหลิงแผนกข่าวสาร : มา @อาจารย์ตรวจสอบกระเป๋าแบรนด์เนม กระเป๋าชาแนลที่วางอยู่ข้างหลังเธอเป็นของแท้หรือเปล่า
อาจารย์ตรวจสอบกระเป๋าแบรนด์เนม : ของปลอม ปี 2012 ถึง 2018 ชาแนลไม่เคยออกกระเป๋ารุ่นนี้เลย
‘แล้วรองเท้าล่ะ ถ้าดูไม่ผิดละก็ นั่นมันจิมมี่ชูใช่ไหม’
‘รุ่นน่ะใช่อยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าเป็นของปลอมหรือเปล่า ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องรองเท้าน่ะ’
‘ซื้อรองเท้าคู่หนึ่งก็ไม่ได้ลำบากยากเย็นหรอกนะ เสี่ยวหลิงก็มีรองเท้ากุชชี่อยู่คู่หนึ่งเหมือนกัน แล้วอีกอย่างพวกลูกหลานเศรษฐีจะมาทำงานที่นี่ได้ยังไง’
‘ไม่ต้องขี้อิจฉาแบบนี้ก็ได้มั้ง เธอเพิ่งมาเอง ถ้าเกิดเป็นคนนิสัยดีจะทำยังไงล่ะ’
‘ฉันเห็นด้วยนะ’
หลี่หย่งเปียวใช้นิ้วเคาะโต๊ะแล้วใช้คางพยักพเยิดไปที่ผู้ชายสวมแว่นกรอบดำตรงหัวมุมพลางถาม “จางจวิ้น สวีเยี่ยนสือกับเกาเหลิ่งล่ะ ทำไมพวกเขาสองคนยังไม่มากันอีก”
ขณะที่จางจวิ้นกำลังอ้าปากจะตอบก็มีคนก้าวเข้ามาทางประตูแล้วพูดเสียงเรียบ “ผมมาแล้วครับ” ทำให้เซี่ยงหยวนที่นั่งตรงกับช่องลมเครื่องปรับอากาศสะดุ้งด้วยความหนาวเหน็บ แต่เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้น ยังคงก้มหน้าเล่นเกมไขปริศนาอย่างตั้งอกตั้งใจ ทว่าใจกลับลอยไปไกลแล้ว
โต๊ะประชุมเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ร่างสูงนั้นเหมือนเดินผ่านคนหลายคน เซี่ยงหยวนที่ก้มหน้าอยู่ได้ยินเพียงเสียงขยับของเก้าอี้ ลมอุ่นจากเครื่องปรับอากาศพัดเข้ามาในปกเสื้อเธอ เนื้อผ้าบางๆ สะกิดผิวกายทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เกมไขปริศนาในมือถือหารูปทรงที่คล้ายกันไม่ได้อีกแล้ว
ที่จริงแล้วสวีเยี่ยนสือไม่ได้เย็นชาเหมือนคืนที่อยู่บนรถ ขณะที่ทุกคนพูดคุยกันบนโต๊ะประชุมเขาก็พูดแทรกขึ้นเป็นบางครั้ง พอมีผู้หญิงคุยกับเขา เขาก็จะก้มหน้ายิ้มบางๆ เวลาเขายิ้มจะโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ภาพลักษณ์ยังคงสดใสเหมือนสมัย ม.ปลาย แต่ดูเป็นกันเองมากกว่า
สายตาของทั้งสองคนสบประสานกันบางครั้งท่ามกลางเสียงพูดคุยจอแจของผู้คน แล้วก็ละออกจากกันเงียบๆ อย่างรู้กันดี
เซี่ยงหยวนกลับไปจ้องมือถืออีกครั้ง ขณะที่สวีเยี่ยนสือคุยเล่นเบาๆ กับจางจวิ้นที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียงของเขาทุ้มต่ำสลับกังวาน ทั้งยังเจืออารมณ์หยอกเย้าเล็กน้อย ลอยข้ามห้องนี้ ข้ามขุนเขาทะเลที่ขวางกั้นพวกเขาอยู่ เข้ามาในหูของเธอ
“จัดการเรียบร้อยแล้ว เหล่าเหลียงให้คนไปหามาน่ะ รอทางโรงงานแก้งานอีกที”
จางจวิ้นพูด “ลูกพี่ คราวหน้าเราต้องเลี้ยงข้าวพวกเหล่าเหลียงหรือเปล่า เพราะครั้งนี้เขาช่วยเราไว้เยอะเลย”
“ไว้ค่อยว่ากันอีกที เหล่าเหลียงไม่ชอบอะไรแบบนี้”
หลี่หย่งเปียวเคาะโต๊ะอีกครั้ง “เอาล่ะ เลิกคุยเล่นกันได้แล้ว ได้เวลาแล้วเริ่มประชุมกันเถอะ คุณช่วยจดชื่อคนขาดประชุมหน่อยนะ เดี๋ยวจะหักเคพีไอ* ของเดือนนี้”
หญิงสาวที่อยู่แผนกเลขาฯ ไม่ค่อยกล้าเขียน “แล้วให้จดชื่อคนนั้นไว้ด้วยไหมคะ ถ้าเกิดปีนี้มาหักโบนัสของเราอีกจะทำยังไงล่ะคะ”
หลี่หย่งเปียวมีสีหน้าหงุดหงิด “งั้นก็ไม่ต้องเขียน เขียนชื่อเกาเหลิ่งลงไป”
นี่มันรังแกเกาเหลิ่งที่ไม่มีเส้นสายชัดๆ
สวีเยี่ยนสือกำลังจะอ้าปากพูดก็ถูกคนขัดจังหวะ
“ช่างเถอะ ไม่ใช่ประชุมใหญ่อะไร ไม่ต้องเขียนหรอก ฉันรู้จักกับเกาเหลิ่ง” เซี่ยงหยวนวางมือถือลง ก่อนพูดพร้อมชำเลืองมองสวีเยี่ยนสือ
หลี่หย่งเปียวโบกมือ “ได้ๆ”
คนที่อยู่ในห้องประชุมต่างทำหน้าตกตะลึง พนักงานจ้องหน้ากันด้วยความงุนงง หลี่เถี่ยไกว่ ว่านอนสอนง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ผู้หญิงคนนี้ใหญ่มาจากไหนกัน เป็นพนักงานใหม่ไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงเหมือนผู้จัดการที่สำนักงานใหญ่ส่งมามากกว่า
“ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก เซี่ยงหยวน เป็นหัวหน้าทีมแผนกเทคโนโลยีคนใหม่ที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมา”
จากนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังมาจากลูกน้อง
หลี่หย่งเปียวตบโต๊ะ “เอะอะอะไรกัน ฟังผมพูดให้จบก่อน” เขาชี้ไปที่สวีเยี่ยนสือ “แผนกเทคโนโลยีแบ่งทีมกัน คุณดูแลทีมหนึ่ง เซี่ยงหยวนดูแลทีมสอง แล้วก็แบ่งคนไปหน่อย หรือว่าพวกคุณใครสมัครใจจะไปอยู่ทีมสองก็ยกมือขึ้น”
แล้วใครมันจะไปยกมือกันล่ะ
เซี่ยงหยวนกระแอมทีหนึ่งเพื่อใช้สิทธิ์ในการพูด “ไม่เป็นไร พวกคุณจะอยู่กับหัวหน้าสวีก็ได้ ฉันขอคนเดียวก็พอ ฉันสนิทกับเกาเหลิ่ง ให้เขามาอยู่ทีมฉันเถอะ”
“คุณจะเอาแค่คนเดียวเหรอ”
“เดี๋ยวฉันให้เกาเหลิ่งพาฉันไปเดินดูเพื่อให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของบริษัทก่อน”
หลี่หย่งเปียวรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดมาก ไม่ล่วงเกินใครเลย แตกต่างจากยายหลานสาวรองหัวหน้าคนนั้นอย่างสิ้นเชิง จู่ๆ เขาก็ตั้งความหวังอยากให้เธอคนนี้สร้างผลงานอะไรให้กับบริษัทแห่งนี้
“สวีเยี่ยนสือ คุณว่าไง”
“ได้ครับ”
“โอเค งั้นก็ให้เกาเหลิ่งจัดการด้วย”
พอเลิกประชุมทุกคนก็ทยอยแยกย้ายกันไปหมด เซี่ยงหยวนยังไม่ได้ลุกไปไหน นั่งเล่นเกมไขปริศนาอยู่ที่เดิมอีกพักหนึ่ง แต่เธอคาดไม่ถึงว่าสวีเยี่ยนสือก็ยังไม่ได้ลุกไปเช่นกัน เขานั่งกางขาเอามือกอดอก หลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ด้านหน้าเขามีสมุดบันทึกกางไว้อยู่เล่มหนึ่ง แต่สะอาดเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าใบหน้าของเขาเสียอีกเพราะไม่ได้จดอะไรไว้ รู้สึกว่าปกติแล้วเขาเป็นคนที่ไม่จดบันทึกเลย
พอเห็นเธอหยุดเล่นสวีเยี่ยนสือจึงพูดเสียงทุ้ม “เล่นเสร็จแล้วเหรอ”
“หือ? นายยังไม่ไปอีกเหรอ”
สวีเยี่ยนสือเอื้อมแขนออกมาข้างหนึ่งแล้วปิดสมุดบันทึกที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นพูด
“โมเมนต์ที่เกาเหลิ่งโพสต์ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เธอ แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมาทางนี้โดนสำนักงานใหญ่ยัดเด็กเส้นมาเยอะเกินไป เขาก็เลยมีปฏิกิริยามากไปหน่อย”
เธอวางมือถือลงแล้วนั่งเอนหลัง รอยยิ้มของเธอเหมือนจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์ “ทำไม กลัวฉันรังแกเกาเหลิ่งเหรอ สวีเยี่ยนสือ ในสายตานายฉันเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้นเลยเหรอ อย่างน้อยฉันก็เป็นแฟนเก่าของเพื่อนนายมาก่อนนะ ไม่ต้องหาเรื่องฉันขนาดนี้ก็ได้มั้ง”
สวีเยี่ยนสือก้มหน้ายิ้มคล้ายเย้ยหยันตัวเอง เส้นตรงที่หางตาลดต่ำลง ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ท่าทางเย็นชาจนน่าใจหาย
“ระหว่างเราสองคนถ้าไม่พูดถึงเฟิงจวิ้นก็ไม่มีเรื่องอื่นจะคุยกันแล้วใช่ไหม สรุปแล้วจะหาเรื่องคุยหรืออยากโดนตีกันแน่”
เซี่ยงหยวนมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากเขา เธอกะพริบตาพลางจ้องมองเขาด้วยความงงงวย ทางด้านสวีเยี่ยนสือทันทีที่พูดจบเขาก็นึกเสียใจขึ้นมา แต่เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เธอฟัง
“นายทะเลาะกับเฟิงจวิ้นเหรอ” เซี่ยงหยวนถามอย่างระมัดระวัง
“เปล่าหรอก” เขาเอามือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ยังนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ เบือนหน้าเล็กน้อยเผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่ไร้อารมณ์ “เราไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว”
เซี่ยงหยวนห่อปากก่อนพยักหน้าทำท่าครุ่นคิด “ฉันก็เหมือนกัน หลังเรียนจบก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว”
เขาตอบรับ “อื้ม” นานมาแล้วตอนที่เธอเพิ่งชอบเขา ทุกครั้งที่เขาพูดว่า ‘อื้ม’ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เซี่ยงหยวนมักรู้สึกหัวใจเต้นระรัว ทุกอย่างเต็มไปด้วยฟองสีชมพูทั้งๆ ที่เป็นเพียงการสนทนาธรรมดาๆ เช่น
‘นายกินข้าวหรือยัง’
‘อื้ม’
แต่เธอกลับกระโดดโลดเต้นอยู่ในหอพักด้วยความดีใจ พร้อมกับหมุนสามร้อยหกสิบองศาอยู่กับที่อีกร้อยยี่สิบรอบราวกับว่าเขารับปากจะเก็บดาวบนฟ้ามาให้เธอ
นั่นเป็นวัยที่พวกเขาต่างสดใสและสวยงามที่สุด ตอนนั้นเขายังไม่ได้ชอบเธอ แต่ตอนนี้พวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว และแหวกว่ายอยู่ในทะเลชื่อเสียง กิเลส และลาภยศมานานหลายปี รู้จักโลกมนุษย์ที่ไม่เที่ยงและความรักที่ไม่จีรังก็ผ่านตามาจนชินชา คนโง่เท่านั้นถึงจะเชื่อในเรื่องความรัก
เซี่ยงหยวนก้มหน้าลงอีกครั้งแล้วเปิดเกมไขปริศนา ง่วนอยู่กับการทำสถิติคะแนนใหม่
บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่สวีเยี่ยนสือจะลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งของเขาสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง ส่วนมืออีกข้างถือสมุดบันทึกไว้ เขาใช้มุมแข็งๆ ของสมุดบันทึกเคาะโต๊ะด้วยท่าทีจริงจังแล้วพูดขึ้น
“จะไปไม่ไป”
เซี่ยงหยวนตอบกลับไปด้วยความเคยชิน “เดี๋ยวก่อน ขอเล่นตานี้จบก่อน”
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงความผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความฉงน และพบกับสายตาที่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดคู่นั้น
“นายรอฉันอยู่เหรอ”
สวีเยี่ยนสือหัวเราะเสียงเย็น “นึกว่าฉันเสียเวลารำลึกความหลังกับเธออยู่เหรอ”
เซี่ยงหยวนหน้าแดงด้วยความเก้อเขิน “นี่ก็…เลิกงานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เหลืออีกสิบนาที” เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ นิ้วชี้เคาะที่หน้าปัด “แผนกเทคโนโลยียังมีประชุมอีก”
เซี่ยงหยวนรีบปิดเกมทันที จากนั้นโยนมือถือเข้าไปในกระเป๋าพลางทัดปอยผมไว้ที่หลังหูแล้วมองเขาด้วยสายตาตำหนิ “ทำไมนายถึงไม่รีบบอกฉันล่ะ!” พูดจบก็ชิงตัดหน้าเดินนำออกไปโดยไม่รอเขา
เธอเป็นคนตัวไม่สูงนัก ส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบสองเซนติเมตร แต่สัดส่วนขาของเธอดีมาก พอใส่รองเท้าส้นสูงแล้วใครไม่รู้ยังนึกว่าเธอสูงสักร้อยหกสิบแปด ทั้งนี้เพราะเธอมีขาเรียวยาวคู่นี้คอยช่วยเสริมความโดดเด่น
เซี่ยงหยวนเร่งฝีเท้าเดินออกมานอกห้องประชุม แต่เขาก็ยังไม่ตามมา พนักงานที่เดินผ่านมากล่าวทักทายเธอ หญิงสาวรู้สึกว่าควรสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเอาไว้สักหน่อยจึงยืนอยู่หน้าประตู กระเป๋าที่กลายเป็นประเด็นร้อนมาตลอดทั้งบ่ายตอนนี้ถูกห้อยไว้ที่แขนโดยที่เจ้าของไม่ได้สนใจ เธอทำมือเป็นโทรโข่งแล้วป้องไว้ที่บริเวณปาก จากนั้นค้อมตัวลงเล็กน้อยแล้วตะโกนไปทางห้องประชุมด้วยท่าทีขี้เล่น
“สวีเยี่ยนสือ เลิกเล่นเกมได้แล้ว! เร็วๆ เข้า แผนกเทคโนโลยีมีประชุมนะ!”
ตะโกนเสร็จเธอก็ยืนพิงผนังรออยู่หน้าประตูและไม่ได้มองเข้าไปข้างในด้วย
สวีเยี่ยนสือยังนั่งอยู่ในห้องประชุม หลังได้ยินเสียงคนร้ายชิงฟ้องเสียก่อนของอีกฝ่าย เขาที่ยืนกอดอกพิงอยู่กับโต๊ะประชุมก็ก้มหน้าแล้วเผยรอยยิ้มสดใสที่หาดูได้ยากออกมา
เซี่ยงหยวนรออยู่หน้าประตูครู่หนึ่งกว่าจะเห็นคนเดินออกมา “นายทำอะไรน่ะ”
สวีเยี่ยนสือดันแว่นขึ้นแล้วเดินออกมา “กำลังคิดอยู่ว่าจะแนะนำเธอให้ทุกคนรู้จักยังไง”
เซี่ยงหยวนดึงกระเป๋าขึ้นไปสะพายที่ไหล่ สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาว แล้วเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย
“ก็บอกไปสิว่าฉันเป็นเด็กเส้น ไหนๆ พวกนายก็เรียกฉันแบบนี้ลับหลังอยู่แล้ว”
สวีเยี่ยนสือเหลือบมองเธอแล้วพูดเปิดโปงตรงๆ “หรือเธอจะเถียงว่าไม่ใช่ล่ะ”
เซี่ยงหยวนชะงักก่อนจะจ้องกลับไปด้วยสายตาเย็นชา “นายมีเพื่อนจริงๆ เหรอ”
สวีเยี่ยนสือไม่ตอบคำถามเธอ
เซี่ยงหยวนโบกมือแล้วพูดอย่างยอมแพ้ “เมื่อกี้นี้ผู้จัดการหลี่ก็แนะนำไปแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้านายอยากจะแนะนำอีกก็บอกไปว่าฉันเป็นเพื่อนสมัยเรียน ม.ปลาย ของนายสิ” พูดจบก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ “ช่างเถอะ นายอย่าพูดว่าเราเป็นเพื่อนสมัย ม.ปลาย กันจะดีกว่า เพราะโรงเรียนมัธยมที่หกก็ไม่ใช่โรงเรียนดีเด่อะไร เดี๋ยวจะทำให้ภาพลักษณ์ของนายเสียหมด”
“ได้”
เธอถูกรังเกียจเสียแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.