With Love
ทดลองอ่าน กลับมารักกันอีกครั้ง บทที่ 3
หญ้าเขียวขจี : @เสี่ยวเฉาแผนกบุคคล ‘องค์หญิง’ ที่มาใหม่ทำไมถึงยังไม่มาทำงานอีก! นี่มันตั้งกี่วันแล้ว มีอย่างที่ไหนมารายงานตัววันแรกก็หายตัวไป ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่สาวฉันแต่งงาน ฉันขอลาหน่อยคุณก็เอาแต่บ่นฉันไม่หยุด แถมยังต้องให้ลุงฉันโทรหาผู้จัดการหลี่อีก
หญ้าเขียวขจี : @เสี่ยวเฉาแผนกบุคคล อีกสักสองสามวันฉันจะขอลาบ้าง พอดีเพื่อนฉันคลอดลูกน่ะ ถ้าคุณไม่อนุมัติ ฉันจะไปรายงานลุงฉัน
รายงานๆ ลุงเธอเป็นผู้จัดการหรือไง รายงานอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน
หลี่หย่งเปียวค้อนอย่างเอือมระอา ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงได้น่ารำคาญแบบนี้ก็ไม่รู้ อันที่จริงจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าลุงที่ว่าคนนี้เป็นรองหัวหน้าคนไหนของสำนักงานใหญ่
ตอนแรกเขาปล่อยให้อิ้งอินอินพูดอยู่ในกลุ่มคนเดียวต่อไป แต่ผู้หญิงอีกสองสามคนจากแผนกอื่นเหมือนนัดแนะกันไว้กรูออกมาประหนึ่งจะร่วมแรงร่วมใจกำจัดศัตรู
เสี่ยวหลิงแผนกข่าวสาร : คุณเฉา ช่วยอธิบายหน่อยเถอะ ไม่งั้นแบบนี้มันไม่เหมาะสมจริงๆ นะ ปกติพวกเราจะขอลาทีลำบากยากเย็นเหลือเกิน ขนาดค่าโอทียังโดนหักเลย ตอนนี้พวกเขาไปเที่ยวข้างนอกกันตั้งสิบกว่าวัน ทุกคนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม คุณช่วยเข้าใจกันบ้างเถอะ
เจ้าเห็ดหวังจิ้งฉี : ช่างเถอะ อินอิน เธออย่าพูดเลย คุณเฉาเองก็คงมีเรื่องลำบากใจ เราอย่าไปหาเรื่องเขาเลย อีกอย่างเกาเหลิ่งกับหลินชิงชิงได้ไปด้วย คงจะเป็นกิจกรรมของทีมที่บริษัทอนุมัติให้ไปล่ะมั้ง
หญ้าเขียวขจี : อ้อ งั้นสาวๆ ฝ่ายขายก็ลำบากแทบตายเลยน่ะสิ ต้องทำโอทีดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเจ้านายกับลูกค้าเพื่อทำยอด ทำไมถึงไม่มีสวัสดิการดีๆ แบบนี้บ้างล่ะ เอาเงินของบริษัทไปเที่ยวงั้นเหรอ ทำไมเราต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดหาเงินมาให้แผนกเทคโนโลยีไปเที่ยวกันล่ะ ถ้าเงินกับวันหยุดที่ว่าให้พวกสวีเยี่ยนสือใช้ไป ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย เรื่องอะไรถึงไปให้คนมาใหม่ที่เพิ่งเข้าบริษัทได้แค่วันสองวัน ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหนุ่มๆ แผนกเทคโนโลยีหรอกนะ ก็แค่หวังว่าผู้ใหญ่จะให้คำอธิบายสักหน่อย หนุ่มๆ อย่าทำร้ายฉันนะ
แต่ละคนพูดจาเหมือนมีเหตุผลรักความยุติธรรม จริงๆ ก็แค่อยากสนุกกันอย่างเสมอภาคเท่านั้นแหละ อยากลาก็ไปบอกเฉินซานให้เธอมาหาฉันสิ แต่ละคนพอเห็นหน้าเฉินซานทีไรก็หัวหดอย่างกับเห็นแม่ชีเมี่ยเจวี๋ย
หลี่หย่งเปียวเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งเหมือนกระจกเงา พวกผู้หญิงในฝ่ายขายหัวใสยิ่งกว่าใคร เมื่อมีผลประโยชน์ใดๆ พวกเธอไม่อยากพลาดไปแม้แต่นิดเดียว
ขณะที่เขากำลังเกาศีรษะแล้วคิดว่าจะจัดการอย่างไรก็มีคนเคาะประตูพอดี พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเป็นพ่อต้นป็อปลาร์เดินเข้ามา
หลี่หย่งเปียวมองดูชายหนุ่มในชุดเสื้อกันหนาวสีดำที่ยืนอยู่ตรงหน้า ชุดออกกำลังกายสีขาวที่สวมอยู่ข้างในรูดซิปจนถึงคาง ปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง แว่นตากรอบบางวางอยู่บนดั้งจมูกโด่งของเขา มองดูแล้วเหมือนต้นป็อปลาร์ที่สูงเพรียวจริงๆ หน้าตาเขาละม้ายคล้ายกับดาราภาพยนตร์คนหนึ่ง แต่บังเอิญนึกชื่อไม่ออก
“สวีเยี่ยนสือ คุณมาพอดีเลย เห็นข้อความในแชตกลุ่มแล้วใช่ไหม” เขาถามพร้อมฉีกยิ้มบานแฉ่ง
แผนกเทคโนโลยีเงียบเชียบไม่มีเสียง บรรยากาศดูจริงจังมาก
‘หนุ่มๆ’ กำลังนั่งล้อมเป็นวง สายตาของแต่ละคนต่างจับจ้องไปที่จอมือถือของตัวเอง จากนั้นก็หันมามองหน้ากันโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไร
จางจวิ้นที่สวมแว่นตากรอบดำทำลายความเงียบลงก่อน เขาพูดด้วยน้ำเสียงลังเล “ลูกพี่ไม่อยู่ ใครจะเป็นคนตัดสินใจล่ะ เราจะเข้าไปยุ่งดีหรือเปล่า โหยวจื้อ นายว่ามาสิ”
โหยวจื้อไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จ้องมือถือเงียบๆ แต่หลี่ฉือที่อยู่ข้างๆ เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “ลูกพี่ไม่ได้สั่งแล้วใครจะกล้ายุ่งล่ะ อิ้งอินอินไม่พอใจทีไรก็ฟ้องไปทางสำนักงานใหญ่ทุกที แล้วตอนนั้นสำนักงานใหญ่จะช่วยเราหรือช่วยเธอล่ะ นายไม่เห็นหรือไง ขนาดหลี่หย่งเปียวยังไม่กล้าพูดอะไรเลย อีกอย่างคราวก่อนเราก็เคยมีปัญหากับฝ่ายขายเพราะสัดส่วนการแบ่งโบนัสไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นสำนักงานใหญ่เรียกลูกพี่ไปคุยด้วย บอกว่าคนหนุ่มอย่างเราอารมณ์ร้อนเกินไป เป็นพวกใฝ่สูงแต่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัท ตอนที่ลูกพี่กลับมาโมโหแทบตาย ถ้าไม่มีเขาบริษัทกระจอกๆ นี่คงเจ๊งไปนานแล้ว ไหนบอกว่าสิ้นปีหน้าบริษัทนี้จะปิดตัวแล้วไง ฉันว่าตอนนี้ลูกพี่ก็ดูปล่อยเลยตามเลย เขาก็คงภาวนาอยากให้บริษัทนี้เจ๊งเร็วๆ เหมือนกัน”
จางจวิ้นเข้ามาช้ากว่าคนอื่น จึงไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่หลี่ฉือพูด “ในเมื่อลูกพี่อัดอั้นตันใจขนาดนี้ทำไมถึงไม่ลาออกล่ะ”
“เขาลาออกไม่ได้” หลี่ฉือพูดต่อ “ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร แต่บังเอิญได้ยินเฉินซานพูดว่าพวกเขาทำโครงการสักอย่างกันอยู่ ภายในห้าปีห้ามลาออก”
จางจวิ้นถอนใจด้วยความเสียดาย
ซือเทียนโย่วยกยาน้ำสงบจิต ขึ้นจิบคำหนึ่ง
จางจวิ้นมองตาค้าง “นี่คืออะไร”
ซือเทียนโย่วหันฉลากให้เขาดู “อ่านหนังสือไม่ออกเหรอ”
“นายดื่มเจ้าสิ่งนี้ไปทำไม”
ซือเทียนโย่วจิบต่ออีกคำเหมือนไม่คิดจะหยุด “สงบจิตสงบใจระวังคนแทงข้างหลัง”
“…”
จางจวิ้นหันไปเห็นโหยวจื้อที่ไม่พูดไม่จากำลังพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็ว “นายทำอะไรอยู่”
“พิมพ์หาเรื่องไง รำคาญชะมัด ยายอิ้งอินอิน ‘นก’ จากลูกพี่ก็เลยอ้างเรื่องของเซี่ยงหยวนมาพาลใส่แผนกเทคโนโลยีของเรา”
ปฏิกิริยาแรกของจางจวิ้นคือ “ฮะ? อิ้งอินอินเคยจีบลูกพี่ด้วยเหรอ”
โหยวจื้อปรับความเข้าใจของเขาเสียใหม่ “ที่จริงแล้วยายนั่นจีบลูกพี่เป็นคนแรก ตามมาด้วยฉัน แล้วตอนนี้ก็กำลังจีบหลี่ฉืออยู่”
จางจวิ้นตกใจจนอ้าปากค้างพลางหันขวับไปมองหลี่ฉือ
หลี่ฉือแบมือยักไหล่ “อย่ามองฉัน พักนี้ฉันไม่ได้สนใจยายนั่นเลย ฉันไม่ตอบโต้เพราะไม่อยากถือสาผู้หญิงก็เท่านั้น”
ขณะนี้เองซือเทียนโย่วก็วางยาน้ำสงบจิตในมือลงดัง ‘ปัง’
“เฮ้! พวกนายดูมือถือสิ! ลูกพี่ตอบโต้แล้ว!”
ทุกคนหันไปมองที่จอพร้อมกัน
XYS : เซี่ยงหยวนลงพื้นที่ไปสำรวจภาคสนามอยู่ที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ค่าใช้จ่ายในครั้งนี้เธอรับผิดชอบเองทั้งหมด ข้างล่างเป็นข้อมูลตรวจวัดที่เธอส่งมาให้ฉัน เมื่อคืนฉันเปรียบเทียบเสร็จและส่งเข้าอีเมลของทุกคนแล้ว
XYS : องค์หญิงยังไม่ค่อยรู้งาน ออกไปทำงานแต่ไม่ได้ลากับทุกคน เป็นความผิดของฉันเอง ขอโทษด้วย
ขณะที่ซือเทียนโย่วกำลังจะพูดว่าวันนี้ลูกพี่เจ๋งสุดๆ ไปเลยก็มีข้อความใหม่ปรากฏขึ้นมาในกลุ่ม
XYS : ไว้เธอกลับมาแล้วฉันจะสั่งสอนเอง แต่ความในอย่านำออก ให้เรื่องจบลงแค่นี้เถอะ
ในห้องประชุมแทบจะระเบิด! ลูกพี่สุดยอดไปเลย!
แต่เรื่องที่สุดยอดยิ่งกว่าคือสวีเยี่ยนสือได้กดเรียกคืนข้อความ ‘ความในอย่านำออก’
ทุกคนในแผนกเทคโนโลยีอึ้งไปตามๆ กัน ต่างก็มองหน้ากันและกัน พยายามจะหาคำตอบจากสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็พบกับความงุนงงที่ไม่ต่างกัน
โหยวจื้อลองวิเคราะห์อย่างรวดเร็วจากมุมมองของหนุ่มสายวิทย์อย่างเขา จากนั้นก็ดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วสรุปออกมา
“ลูกพี่เนี่ยเจ้าเล่ห์จริงๆ เลย”
จางจวิ้นและพวกถามขึ้นมา “ยังไงเหรอ”