With Love
ทดลองอ่าน กลับมารักกันอีกครั้ง บทที่ 3
โหยวจื้อตอบ “ท่ามกลางบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนอย่างในแชตกลุ่ม จู่ๆ ถ้าฉันเรียกคืนข้อความ พวกนายจะถามฉันไหมว่าเมื่อกี้เรียกคืนข้อความอะไร ไม่มีทางใช่ไหม พวกปีศาจกระดูกขาวของฝ่ายขายยิ่งไม่มีทางถามใหญ่เลย ตอนนี้พวกเธอคงจะเหมือนกับเรา กำลังนั่งล้อมวงจ้องไปที่มือถือพร้อมจะออกรบทุกเมื่อ ใครพูดก็ด่าคนนั้น แต่พวกเธอคงนึกไม่ถึงว่าลูกพี่จะออกมาพูด แล้วยายพวกนั้นก็ชอบลูกพี่กันหมด ตอนนี้คงจะสงสัยสุดๆ ว่าเฮ้ย สวีเยี่ยนสือกับยายผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกัน ทำไมถึงได้ปกป้องจังเลย อย่าบอกว่าชอบยายนั่นนะ ในเมื่อชอบ ทำไมเขาถึงเรียกคืนข้อความล่ะ เพราะยังชอบไม่มากหรือเปล่า งั้นฉันยังมีโอกาสไหม ในเวลานี้นายคิดว่าพวกนั้นจะสนใจเซี่ยงหยวนมากกว่า หรือสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยงหยวนกับลูกพี่มากกว่าล่ะ คนเราพอถูกเบี่ยงเบนความสนใจก็ยากที่จะกลับไปที่คำถามเดิมได้อีก ดังนั้นพนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้าบริษัทได้ไม่ถึงสองวันอย่างเซี่ยงหยวนได้รับอนุมัติวันลาพักร้อนประจำปีได้ยังไง เรื่องนี้ยังสำคัญอยู่ไหม”
คราวนี้แม้แต่หลี่ฉือก็ถึงบางอ้อ “ถ้าเป็นความจริงล่ะก็ ฉันคงต้องคุกเข่าแสดงความนับถือลูกพี่แล้ว”
จางจวิ้นกำลังตกอยู่ในสภาพงุนงง “นี่…นี่…ยังเป็นลูกพี่คนปกติที่ ‘ไม่สนใจโลก’ คนเดิมอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
โหยวจื้อตบไหล่จางจวิ้นอย่างสงบเยือกเย็น ก่อนเบนสายตากลับไปที่มือถือแล้วก้มหน้าพูด “นายอย่าเห็นว่าปกติลูกพี่ทำท่าเฉื่อยชาเหมือนไม่สนใจอะไรเลย เวลาเขาเอาจริงก็ออกตัวแรงเหมือนกันนะ เกาเหลิ่งกับลูกพี่จบจากมหา’ลัยเดียวกันไม่ใช่เหรอ ได้ยินว่าตอนนั้นเขาไม่ใช่คนที่พูดง่ายเหมือนตอนนี้ สมัยอยู่ที่อู่ฮั่น มีบารมีสุดๆ แม้แต่ฉันที่เรียนเทคโนปักกิ่งยังเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเทพบุตรอู่ฮั่น สวีเยี่ยนสือเลย ตอนนี้เขาแค่กำลังตกต่ำก็เลยถูกหมารังแกเท่านั้นเอง”
จางจวิ้นเห็นเงาร่างสูงใหญ่และคุ้นตาปรากฏขึ้นที่หน้าห้องประชุม เสื้อกันหนาวสีดำเปิดอ้าไว้ เขาใช้มือข้างหนึ่งปัดเสื้อกันหนาวไปข้างหลัง มือข้างหนึ่งสอดไว้ในกระเป๋ากางเกงทรงสปอร์ต อีกข้างหนึ่งถอดแว่นออกแล้วถือขาแว่นยืนพิงกรอบประตูห้องประชุม กำลังก้มหน้าคล้ายครุ่นคิดว่าเขาถูกสุนัขตัวไหนรังแกกันแน่
“ความจริงพิสูจน์แล้วว่าพอสิงโตจำศีลนานเกินไปก็จะกลายเป็นคิตตี้ไปในที่สุด แต่ฉันพอใจกับผลงานของลูกพี่ในวันนี้มาก เพราะในที่สุดเขาก็รู้ตัวแล้วว่าเขาเคยเป็นสิงโตมาก่อน แม้จะยังห่างจากการฟื้นตัวอีกไกลโข แต่ถ้าสะสมกลิ่นเท้าของเกาเหลิ่งไว้อีกหลายปีจนกลายเป็นเมฆวิเศษ* ขึ้นมา สักวันหนึ่งเมื่อพวกเขาสองคนร่วมมือกันจะต้องไปถึงซีเทียนอีกแน่นอน”
ปากของโหยวจื้อเสียจริงๆ!
จางจวิ้นอยากเตือนโหยวจื้อว่าลูกพี่มาแล้ว แต่โหยวจื้อไม่พูดพร่ำทำเพลงเปิดฝาโลงแล้วเดินเข้าไปนอนเองเสียอย่างนั้น ไม่เหลือโอกาสให้คนอื่นได้ขัดจังหวะ ปิดฝาโลงไว้แน่นสนิทไม่มีช่องว่างเลยสักนิด ตอนหลังโหยวจื้อมาคิดบัญชีทีหลังถามจางจวิ้นว่าทำไมถึงไม่เตือนเขา จางจวิ้นจึงทวนซ้ำคำเดิมให้ฟังแล้วบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดให้ตัวเองตายได้อย่างสดใสและพิสดารแบบนี้
ซือเทียนโย่ว หลี่ฉือ จางจวิ้น และตัวประกอบ ก ข ค ง ต่างลุกหนีออกไปให้ห่างจากสนามรบ
โหยวจื้อจึงหันกลับไปมองเหมือนได้สติ แต่สวีเยี่ยนสือไม่ได้มองเขา ก้มหน้าไม่รู้คิดอะไรอยู่ มุมปากของเขาโค้งขึ้นน้อยๆ ทำให้โครงหน้าซึ่งตอบเล็กน้อยของเขาทวีความคมคายหล่อเหลายิ่งขึ้น ใบหน้าด้านข้างของเขาดูดีเป็นพิเศษ แนวสันกรามราบเรียบดูแข็งแรง เครื่องหน้าไม่ถือว่าประณีต แต่ดูพอเหมาะพอดีในทุกส่วน ทั้งยังมีความคมชัดของโครงกระดูกมากกว่าคนอื่นอีกสามส่วน
โหยวจื้อรู้สึกว่าวันนี้สวีเยี่ยนสือดูหล่อเป็นพิเศษ
เขาหยิบมือถือแล้วเดินออกไปด้วยท่าทีนิ่งสงบ ขณะที่เดินผ่านข้างกายสวีเยี่ยนสือ เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมองเขาเหมือนไม่ใส่ใจ
โหยวจื้อรู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังถูกเค้นถาม จึงรีบดิ้นหนีไปให้พ้นตัวลูกพี่เหมือนปลาไหล “สวัสดีครับ ลาก่อนครับ”
ตอนที่พวกเซี่ยงหยวนกลับมาก็เป็นช่วงเย็นของสองวันให้หลังแล้ว
ขณะนั้นนาฬิกาตั้งพื้นแบบโบราณประณีตที่ตั้งอยู่หน้าประตูออฟฟิศชี้ตรงไปที่เวลาห้าโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน
เซี่ยงหยวนเพิ่งกดปุ่มลิฟต์ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกเสียงดัง ‘ตึ๊ง’
ผู้หญิงที่แต่งหน้าฉูดฉาดคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ เซี่ยงหยวนจำได้ว่าเธอชื่ออิ้งอินอิน เป็นชื่อที่ฟังแล้วก็รู้สึกได้ถึงมารยาจริตหญิง หลานสาวรองหัวหน้าที่ว่าคนนี้เซี่ยงหยวนจำได้ดี จึงส่งยิ้มให้เธอตามมารยาท
อิ้งอินอินแต่งตัวพิถีพิถันยิ่งกว่าตอนมาทำงานเสียอีก ขนตาดกหนาของเธอเหมือนขนนกสีดำ เธอปรายตามองเซี่ยงหยวนด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง แล้วตอบไปอย่างไม่ยินดียินร้าย
“กลับมาแล้วเหรอ บังเอิญจัง พวกเราเลิกงานกันแล้ว”
เซี่ยงหยวนยังไม่ได้เข้าร่วมแชตกลุ่มใหญ่ของบริษัท ส่วนพนักงานเก่าอย่างหลินชิงชิงกับเกาเหลิ่งปกติก็ไม่ค่อยอ่านข้อความในแชตกลุ่มใหญ่อยู่แล้ว แชตกลุ่มใหญ่ของบริษัทที่มีสมาชิกหลายร้อยคนแบบนี้พวกเขามักจะปิดการแจ้งเตือนข้อความ เว้นเสียแต่มีคนเพิ่มเพื่อนพวกเขาถึงจะกดเปิดอ่าน แต่ปกติก็มักจะไม่ค่อยสนใจนัก
อิ้งอินอินพูดจาแบบนี้อยู่แล้ว หลินชิงชิงรู้ดี นอกจากผู้ชายและแก๊งปีศาจจิ้งจอกแล้ว กับผู้หญิงคนอื่นๆ ในบริษัทก็แทบจะไม่เคยญาติดีด้วยเลย ถึงขั้นที่ว่าดูถูกผู้หญิงแบบหลินชิงชิงด้วยซ้ำ
หลินชิงชิงเองก็ไม่ค่อยกล้าไปมีเรื่องกับเธอ แต่เซี่ยงหยวนดูเหมือนจะไม่เห็นเธออยู่ในสายตา ไม่ได้รับคำเธอเลยสักนิด ทำให้หลินชิงชิงรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก
ข้างหลังอิ้งอินอินมีหลี่ฉือตามมาอีกคน หลินชิงชิงถลึงตาจ้องเขา หลี่ฉือจึงเอามือไปขยี้ศีรษะของหลินชิงชิงคล้ายจะก่อกวน
“มีอะไร พี่หล่อขึ้นอีกแล้วใช่ไหม”
เรื่องที่อิ้งอินอินกำลังจีบหลี่ฉืออยู่นั้นโจษจันไปทั่วบริษัท ยกเว้นเซี่ยงหยวนคนเดียวที่ไม่รู้ หลินชิงชิงคาดการณ์ไว้ว่าหลี่ฉือจะต้องต้านทานไม่ได้แน่
สำหรับเรื่องนี้เกาเหลิ่งคิดแบบเดียวกับหลินชิงชิง เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับอิ้งอินอิน เวลาผู้ชายมองผู้หญิงพวกเขามีเพียงสองมาตรฐานเท่านั้น นั่นก็คือผู้หญิงแมนๆ กับผู้หญิง
อิ้งอินอินเป็นปีศาจจิ้งจอกในหมู่ผู้หญิง มีแค่ผู้ชายบ้าไอทีอย่างลูกพี่กับโหยวจื้อสองคนเท่านั้นที่ไม่หวั่นไหวกับเธอ ส่วนหลี่ฉือหนีไม่พ้นเงื้อมมือของเธออย่างแน่นอน ต่างกันแค่เร็วหรือช้าเท่านั้น
ดังนั้นถือจังหวะที่หลี่ฉือเดินผ่านไป เกาเหลิ่งจึงผลักแขนหลี่ฉือคล้ายจะเย้าแหย่แล้วพูดอย่างมีเลศนัย “เฮ้ คุณชายหลี่ของเราจะสละโสดแล้วเหรอเนี่ย”
หลี่ฉือเดินออกจากลิฟต์ไปแล้วยังอุตส่าห์ย้อนกลับมาจัดการเกาเหลิ่ง เกาเหลิ่งถือถุงของขวัญที่เอามาจากทางตะวันตกเฉียงเหนืออยู่เต็มมือถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว จึงขดตัวอยู่ที่มุมลิฟต์แล้วร้องเสียงหลง
“พี่หลี่ๆ”
หลี่ฉือถึงได้ปล่อยมือจากเขา
อิ้งอินอินยืนยิ้มอยู่หน้าลิฟต์ มองดูพี่น้องสองคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน ยิ้มแย้มหน้าชื่นมื่น พูดด้วยเสียงอ้อนแกมเคือง “หลี่ฉือ คุณอย่าเอาแต่แกล้งเกาเหลิ่งสิ!” ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเธอกับพวกเขาน่าจะสนิทสนมยิ่งกว่าผู้หญิงสองคนในแผนกเดียวกันด้วยซ้ำ
หลินชิงชิงรู้สึกขุ่นเคืองเหมือนถูกกีดกันซึ่งๆ หน้า
เกาเหลิ่งยังคงพูดต่ออย่างไม่รู้สึกตัว “ใช่ อินอินบอกให้นายรังแกเธอแทน”
หลี่ฉือจึงจัดหนักให้อีกรอบ
อิ้งอินอินดูเหมือนจะเข้ากับผู้ชายได้ดีมาตั้งแต่เกิด แถมยังอ้อนเก่งเสียด้วย ดังนั้นนอกจากผู้ชายบางคนในบริษัทที่ไม่ค่อยชอบเธอแล้ว ดูเหมือนเธอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ชายไปทั่ว คนโง่ยังดูออกเลยว่าอิ้งอินอินจงใจอวดความสนิทสนมของตัวเองกับผู้ชายแผนกเทคโนโลยีต่อหน้าเซี่ยงหยวน
หลินชิงชิงชำเลืองมองเซี่ยงหยวนก็เห็นเธอยังคงกดประตูลิฟต์ค้างไว้ให้หลี่ฉือมาตั้งแต่ต้นด้วยความใส่ใจไม่ให้ประตูปิดลง
ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิงที่ได้เปรียบในเรื่องความสวยทั้งคู่ แต่คนแบบเซี่ยงหยวนเวลาอยู่ร่วมกับคนอื่นให้ความรู้สึกสบายใจมากกว่าอิ้งอินอิน
เซี่ยงหยวนได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ทุกท่วงท่าที่เธอแสดงออกล้วนบ่งบอกถึงความสุภาพเรียบร้อยตามแบบฉบับกุลสตรีจากตระกูลใหญ่ เวลาล้อเล่นก็สง่างามเปิดเผย มีอารมณ์ขัน ไม่มีจริตมารยาเลยแม้แต่น้อย
พอหลี่ฉือเดินออกไปประตูลิฟต์ก็ปิดลงอีกครั้ง จู่ๆ หลินชิงชิงก็หันไปถามเกาเหลิ่ง “นายสนิทกับอิ้งอินอินมากเหรอ”
เกาเหลิ่งถือของให้ดีแล้วยืนตัวตรง เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “ก็โอเคอยู่นะ มีอะไรเหรอ”
“เปล่า แค่รู้สึกว่าพวกนายดูชอบอิ้งอินอินกันมากเลย”
เกาเหลิ่งหัวเราะออกมา พูดเหมือนไม่สนใจ “ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงมีความสัมพันธ์แค่สองแบบ เป็นแฟนกับไม่ใช่แฟน ผู้หญิงที่ไม่ใช่แฟน ไม่ว่าคนไหนก็ไม่มีความแตกต่างสำหรับฉัน”
“…”
“จริงสิ หลินชิงชิง เธอเคยมีแฟนไหม”
หลังจากเซี่ยงหยวนขึ้นมารายงานตัวกับหลี่หย่งเปียวแล้วกลับลงไปที่แผนกเทคโนโลยีก็พบว่าทั้งออฟฟิศไม่มีใครอยู่เลย ประตูห้องประชุมถูกเปิดอ้าไว้ หน้าต่างก็ไม่ได้ปิด ลมทะลักเข้ามาผ่านช่องแคบๆ ของหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวขุ่นถูกลมพัดจนไปเกี่ยวกับไวท์บอร์ดที่ตั้งอยู่ข้างๆ ลมเย็นระลอกใหญ่พัดโกรกเข้ามาไม่หยุด
บนโต๊ะประชุมมีขยะกองเท่าภูเขาตั้งอยู่ ดูเละเทะไปหมด เมื่อมองดูแล้วก็เห็นว่าบนภูเขาขยะมีของทุกสิ่งอย่างวางสุมอยู่
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กินไปเพียงครึ่งเดียวถูกเปิดฝาค้างไว้ แก้วชาที่วางระเนระนาด เศษขนมปัง และบอร์ดความแม่นยำสูงหลายชิ้นที่ถูกแกะแพ็กเกจจิ้งไปเพียงครึ่งหนึ่ง รวมทั้งโน้ตบุ๊กที่ยังเปิดเครื่องอยู่อีกสองเครื่อง อ้อ แล้วก็มีถุงเท้าที่ไม่รู้ว่าใส่ไปกี่อาทิตย์แล้วอีกหนึ่งคู่ซึ่งแข็งจนตั้งอยู่บนโต๊ะได้
เธออยากรู้ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เกาเหลิ่งมองภาพนี้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา คุ้ยหาแก้วชาของตัวเองจาก ‘ภูเขาขยะ’ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็บ่นอุบพร้อมกับจะเดินไปล้างแก้ว
“เจ้าบ้าซือเทียนโย่วเอาแก้วฉันไปดื่มน้ำอีกแล้ว! ช่วยล้างแก้วไว้ใช้สักใบจะได้ไหมเนี่ย” พอจบคำพูดและก่อนจะเดินไปล้างแก้วก็ไม่ลืมเตือนเซี่ยงหยวนที่ยืนอยู่หน้าประตู “ต่อไปคุณต้องซ่อนแก้วของตัวเองให้ดีนะ เพราะซือเทียนโย่วไม่สนว่าแก้วเป็นของใคร เขาจะเอาไปใช้หมดเลย แม้แต่แก้วของหลินชิงชิงก็ไม่เว้น”
“ทำไมเขาถึงใช้แก้วของคนอื่นล่ะ”
“เพราะเขาดื่มยาน้ำสงบจิตทุกวันแล้วไม่ค่อยดื่มน้ำ แถมไม่ค่อยชอบล้างแก้วด้วย ทุกครั้งพอเอาไปชงชาเก๊กฮวยแล้วก็จะวางทิ้งไว้หนึ่งอาทิตย์จนเห็ดงอก เขารู้สึกว่าล้างยังไงก็ไม่สะอาดแล้ว เลยเอาแก้วของคนอื่นไปใช้ เพราะคนอื่นจะล้างแก้วกันหมด”
“แล้วสวีเยี่ยนสือล่ะ”
เกาเหลิ่งสารภาพหมดเปลือก “เขาไม่กล้าใช้แก้วของลูกพี่ เพราะหลังจากที่โดนลูกพี่จัดการแล้ว ยังจะลงโทษให้เขาทำโอทีอีก เขาต้องโดนทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นสองเท่า เวลาลูกพี่รังแกใคร น่ากลัวสุดยอด”
“สวีเยี่ยนสือรังแกพวกคุณบ่อยๆ เหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอก ที่จริงแล้วลูกพี่ไม่ค่อยสนใจพวกเรา หลายปีมานี้การงานของเขาไม่ค่อยราบรื่น แล้วยอดขายของบริษัทลูกก็ลดต่ำลงทุกปี สำนักงานใหญ่ก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขา แม้เฉินซานจะพยายามแนะนำเขาให้ทางนู้นแล้ว แต่หลายปีมานี้โดนพวก ‘เด็กเส้น’ ชิงตัดหน้าตลอด ที่จริงเขาควรย้ายไปอยู่ห้องแล็บพัฒนาผลิตภัณฑ์ของสำนักงานใหญ่ที่ปักกิ่งตั้งนานแล้ว แต่คุณก็น่าจะรู้ บริษัทแบบนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องคอนเน็กชั่นมากๆ หลังจากได้รับความกระทบกระเทือนมาหลายครั้ง สองสามปีมานี้ลูกพี่ก็ไม่ค่อยสนใจอะไรแล้ว เฉินซานคุยกับเขาตั้งหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่กลับจากสำนักงานใหญ่ลูกพี่ก็จะอารมณ์ไม่ดีหงุดหงิดเป็นพิเศษ บวกกับสองปีแรกน้องชายเขาป่วยจึงหมดเงินกับการรักษาไปเยอะ แถมพ่อเขาก็ติดหนี้อีก อันที่จริงหลายปีมานี้ลูกพี่ไม่ค่อยมีเงิน แต่เขาเป็นคนมีวินัยมาก เทียบกับพวกเราแล้วเรียกได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ไร้ซึ่งกิเลสเลยก็ได้ เห็นเขาเย็นชาแบบนี้แต่ก่อนหน้านี้เขาเกือบต้องไปยืมเงินกับพวกเงินกู้นอกระบบเลยล่ะ”
เซี่ยงหยวนฟังจบแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถามขึ้น “แล้วพวกเขาไปไหนกันหมด”
เกาเหลิ่งเทน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ดื่มไปพลางกวาดตามองหาหลินชิงชิงไปพลาง “โบนัสประจำปีก้อนแรกออกแล้ว ทุกคนไปกินเลี้ยงกัน นี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของปีเลยนะ คืนนี้คุณว่างหรือเปล่า ลูกพี่บอกว่าพอเราทำเรื่องสิ้นสุดการลาแล้วก็ให้ไปแจมกับพวกเขาด้วย”
ขณะที่กำลังพูดกันอยู่หลินชิงชิงก็กลับมา
เกาเหลิ่งวางแก้วน้ำลง จากนั้นถือเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ พวกเขารอกันอยู่” พูดไปก็ทำท่าลึกลับกระซิบข้างหูเซี่ยงหยวน “ได้ยินว่าคืนนี้ลูกพี่เข้าครัวทำอาหารเอง เตรียมต้อนรับพวกเราอยู่ที่บ้าน คุณเป็นคนแรกที่ได้รับสิทธิพิเศษแบบนี้เลยนะ”
“เขาทำเพราะต้องการประหยัดเงินมากกว่า”
เซี่ยงหยวนมองค้อนอย่างรู้ทัน ผู้ชายไม่มีเงินที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ เข้าครัวทำอาหารให้พวกเขากิน นอกจากหวังประหยัดเงินแล้วจะบอกว่าเพราะเขาเก่งอย่างนั้นเหรอ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.