With Love
ทดลองอ่าน กลับมารักกันอีกครั้ง บทที่ 4
ที่นี่เป็นชุมชนที่ค่อนข้างเก่าแล้ว เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ยังคงเป็นรุ่นเมื่อหลายปีก่อน ไม่ไกลจากที่นี่เป็นสวนสาธารณะ มีคุณป้าคุณน้าที่รวมตัวกันเตรียมเต้นแอโรบิกกลางแจ้ง ‘ที่เต้นอย่างไรก็เต้นไม่จบเพลง’ อยู่กลุ่มหนึ่ง และยังมีคนที่พาสุนัขออกมาเดินเล่น พาเด็กออกมาวิ่งเล่น ผู้คนพลุกพล่าน แม้แต่เสาไฟยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความคึกคัก
สวีเยี่ยนสือขึ้นไปกับพวกเขาแล้วหยิบเสื้อนอกมาด้วย เตรียมจะลงไปซื้อกุ้งมังกรเล็ก คนในห้องกำลังเล่นกันสนุก เกาเหลิ่งกับพวกโหยวจื้อกำลังเล่นเกมกันอยู่ กลุ่มหนึ่งเล่น ‘PUBG’ ส่วนอีกกลุ่มเล่น ‘RoV’
เกาเหลิ่งเป็นตัวถ่วงทุกรอบ พวกโหยวจื้อแทบจะโยนมือถือทิ้งแล้วรุมกระทืบเกาเหลิ่งกันทุกรอบเช่นกัน พอกระทืบเขาเสร็จก็รวมทีมเล่นกับเขาใหม่เหมือนไม่เข็ดหลาบ
หลินชิงชิงกำลังดูการ์ตูนภาษาอังกฤษเป็นเพื่อนสวีเฉิงหลี่อยู่ มีหลายประโยคที่ฟังไม่เข้าใจ แต่สวีเฉิงหลี่กลับเข้าใจทั้งหมดแถมยังบ่นพึมพำ “บทพูดของการ์ตูนเรื่องนี้ติงต๊องจัง ให้เด็กสามขวบดูใช่ไหมเนี่ย” หลินชิงชิงทำหน้าตกตะลึงเหมือนกำลังงงกับชีวิต
ส่วนซือเทียนโย่วกับจางจวิ้นกำลังด่านักแสดงในซีรี่ส์ไอดอลเรื่องโปรดของเขา “จมูกร้อยไหมของนักแสดงหญิงคนนี้สามารถไปแสดงเรื่องมังกรหยกได้สบายๆ เลย”
จางจวิ้นเป็นแฟนหนังสือของกิมย้งมาสิบปีแล้ว เกิดครึ้มใจขึ้นมาจึงนั่งคุยกับเขาอย่างจริงจัง “บทอึ้งย้งเหรอ”
ซือเทียนโย่วชูนิ้วชี้แล้วส่ายไปมา “โนๆๆ เล่นเป็นนกน่ะ”
จางจวิ้นรู้สึกว่ากิมย้งถูกดูหมิ่นจึงยัวะขึ้นมา “นั่นมันเรื่อง ‘เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี’ ต่างหาก”
ซือเทียนโย่วตอบ “อ้อ” ดูเหมือนไม่สนใจกับคำตอบเลย
สวีเยี่ยนสือลงมาจากตึก เขาแต่งกายด้วยชุดสบายๆ เป็นชุดออกกำลังกายสีเทาเรียบง่าย เสื้อกันหนาวสีขาวยาวถึงเข่า รองเท้าผ้าใบสีขาวเรียบๆ เขาสาวเท้าเดินไปที่ลานจอดรถ ขากางเกงถูกลมพัดจนแนบติดกับน่องเผยให้เห็นเรียวขาที่สวยงาม น่ามอง และแข็งแรง
เขากดกุญแจรถหนึ่งทีไฟหน้ารถก็กะพริบแล้วปลดล็อก มือของเขาเพิ่งเอื้อมไปแตะประตูรถ พอชำเลืองมองไปที่กระจกข้างก็ต้องหยุดชะงักเพราะมีใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในกระจก
สวีเยี่ยนสือไม่ได้สวมแว่นตา เขาต้องหรี่ตาเพ่งเล็กน้อยถึงจำแนกออกว่านั่นเป็นร่างของเซี่ยงหยวน จากนั้นจึงละมือจากประตูรถแล้วเหยียดตัวยืนตรง เขาเอียงศีรษะแล้วกระดิกนิ้วเรียกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาโดยไม่ได้มองไปที่เธอ
เซี่ยงหยวนค่อยๆ เอามือซุกลงไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาว แล้วเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา
เสื้อกันหนาวของสวีเยี่ยนสือเปิดอ้าอยู่ มือหนึ่งถือกุญแจรถ อีกมือหนึ่งสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง เขาก้มมองเธอ
“มีอะไรเหรอ”
เซี่ยงหยวนมองไปรอบๆ แต่ไม่ยอมมองไปที่เขาเลย พูดคล้ายกับเห็นอกเห็นใจผู้อื่น “ที่จริงนายไม่ต้องไปซื้อหรอก…ยุ่งยากเกินไป ฉันกินหม้อไฟก็ได้”
สวีเยี่ยนสือรอง “อ้อ” แล้วเอนร่างพิงรถ จากนั้นปรายตามองเธอ “เพราะฉะนั้นกุ้งมังกรเล็กเป็นแค่ข้ออ้างที่ไม่อยากมาสินะ”
เซี่ยงหยวนขบฟัน อยากจะตบตัวเองให้ตาย เธอนี่หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ
“ก็…ไม่ใช่หรอก”
เขาทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดพิงรถ เปลี่ยนท่าเป็นกอดอกดูสบายอารมณ์เหลือเกิน แถมยังพูดซ้ำเติมเธอต่ออย่างไม่อินังขังขอบ
“เธอพูดเองไม่ใช่เหรอว่าให้เราปล่อยวางอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่”
…เอ๊ะ! ฉันเคยพูดแบบนี้ตอนไหนเล่า อย่ามาขี้ตู่ได้ไหม
“ฉันกลัวว่านายจะทำตัวไม่ถูก ถึงได้พูดแก้เก้อให้นาย” เซี่ยงหยวนพูดแล้วก้มมองปลายเท้า “อีกอย่างนายก็ไม่ได้ตอบฉันสักหน่อย”
“งั้นเธออยากให้ฉันตอบกลับยังไงล่ะ รู้แล้ว? อ้อ? ได้เลย?”
ก็จริง ตอบแบบนี้ก็ดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ข้อความแบบนี้ไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ดูประหลาดอยู่ดี เพราะฉะนั้นตอนนั้นเธอคงวู่วามไปหน่อยจริงๆ ไม่ควรส่งข้อความแบบนี้ไปหาเขาตั้งแต่แรก ทำให้ทั้งสองคนที่กระอักกระอ่วนอยู่แล้วยิ่งมองหน้ากันไม่ติดมากกว่าเดิม
“งั้นก็เป็นความผิดของฉันงั้นสิ”
“ไม่รู้เหมือนกัน” สวีเยี่ยนสือเบนสายตาไปมองทางอื่น จากนั้นก็ยืนตัวตรง แล้วเอื้อมมือไปจับที่ประตูรถอีกครั้ง ก่อนก้มหน้าถามเธอ “สรุปจะกินกุ้งมังกรเล็กอยู่หรือเปล่า”
“กินสิ”
สวีเยี่ยนสือโค้งมุมปากขึ้นอย่างไม่แสดงอารมณ์ แล้วเปิดประตูรถก้าวขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับ เซี่ยงหยวนรีบเดินอ้อมหน้ารถแล้วมุดเข้าไปนั่งข้างคนขับด้วย จากนั้นก็คาดเข็มขัดนิรภัย นั่งตัวตรงอย่างว่าง่ายสอนง่าย ก่อนยิ้มมองเขาแล้วพูดขึ้น
“ไปด้วยกันเถอะ”
ในรถตกแต่งอย่างเรียบง่าย รถก็เป็นรุ่นธรรมดา ดูออกเลยว่าเขาไม่ค่อยมีเงินจริงๆ
สวีเยี่ยนสือขับรถตามกฎจราจร ไม่รับโทรศัพท์และไม่เล่นมือถือ เสียอย่างเดียวที่ท่าทางดูเอ้อระเหยไปหน่อย เขาเอนหลังแนบกับเบาะรถ แขนข้างหนึ่งวางไว้ที่หน้าต่าง ควบคุมพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว ขนาดจะจอดรถยังใช้มือข้างเดียวเลย เป็นนักขับมือเก๋าอย่างเห็นได้ชัด
ตอนขากลับขณะที่ทั้งสองคนนั่งรอไฟแดงอยู่ในรถเกาเหลิ่งก็โทรมาเร่ง สวีเยี่ยนสือเอนหลังนั่งทอดหุ่ย ปรายตามองปราดเดียวแต่ไม่รับสาย
“ทำไมถึงไม่รับล่ะ”
เขาดึงปกคอเสื้อกันหนาวขึ้นทีหนึ่งแล้วกลับไปจับพวงมาลัยอีกครั้ง เคาะนิ้วชี้อย่างเป็นจังหวะเหมือนแก้เซ็ง จ้องไปที่กระจกมองหลังพลางกล่าว “ใกล้จะถึงแล้ว” เสียงของเขาแหบนิดหน่อย พอพูดจบก็กระแอมครั้งหนึ่ง
เพิ่งขับพ้นไฟแดงไปเกาเหลิ่งก็โทรมาอีก
เซี่ยงหยวนจึงหยิบมือถือที่วางอยู่ตรงกล่องเก็บของที่พักแขนขึ้นมาแล้วโน้มตัวเล็กน้อย กดรับสายแล้วเอามือถือไปแนบข้างหูเขา
“รำคาญเสียงน่ะ”
สวีเยี่ยนสือไม่ได้มองไปที่เธอ สายตาเขายังคงจ้องตรงไปข้างหน้า มีเพียงนิ้วชี้ซึ่งวางไว้บนพวงมาลัยที่นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ย “ฮัลโหล”
นิ้วมือของเซี่ยงหยวนบังเอิญแตะโดนข้างหูเขา เย็นเยือกเหมือนกับเจ้าของเลยแฮะ ขณะที่ปลายนิ้วสัมผัสโดนหูเขา ประสาทของเธอก็ตื่นตัวขึ้นมาฉับพลัน เส้นขนทั่วร่างลุกตั้งคล้ายถูกไฟช็อต สงสัยเลือดของผู้ชายคนนี้ก็คงเย็นเยือกเหมือนกัน
ทว่าใบหูของเขากลับค่อยๆ ร้อนขึ้นและทำให้ปลายนิ้วของเซี่ยงหยวนอุ่นขึ้นตามไปด้วย ลมอุ่นๆ กลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นภายในรถแคบๆ อย่างประหลาด ประสาทที่ตื่นตัวเมื่อครู่นี้ผ่อนคลายลงจนอ่อนยวบ สุ้มเสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินของเขาดังวนอยู่ข้างหูเธอ ชวนให้รู้สึกจักจี้ยิ่งกว่าสัมผัสกับขนนกเสียอีก
เกาเหลิ่งคล้ายกำลังถามว่าเธออยู่ที่ไหน
สวีเยี่ยนสือคุยโทรศัพท์พร้อมกับตีวงพวงมาลัยอย่างไม่ค่อยใส่ใจไปด้วย รถเลี้ยวเข้าไปในถนนเล็กสายหนึ่งที่มีผู้คนบางตา จากนั้นเขาก็พูดอย่างหมดความอดทน “อยู่กับฉัน แค่นี้ก่อนนะ” เซี่ยงหยวนจึงกดวางสายไป
หญิงสาววางมือถือไว้ที่กล่องเก็บของที่พักแขนแล้วเอ่ยถามคำถามที่กวนใจเธอมานาน “นายมาบริษัทนี้ได้ยังไง”
“บังเอิญ”
“…”
เมื่อรถเลี้ยวผ่านไปอีกหลายแยก ทัศนียภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ค่อยๆ คุ้นตาขึ้น
เซี่ยงหยวนจ้องมองเขาด้วยความสงสัย “ฉันได้ยินเกาเหลิ่งพูดว่านายอยู่ที่บริษัทนี้เหมือน…ไม่ค่อยราบรื่นใช่ไหม แล้วเคยคิดจะย้ายไปอยู่บริษัทอื่นหรือเปล่า ฉันช่วยหาคน…แนะนำให้นายได้นะ”
สวีเยี่ยนสือจอดรถเสร็จพร้อมดับไฟหน้าแล้วคว้ากุญแจรถขึ้นมา ในที่สุดเขาก็หันมามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน ก่อนกล่าวเชิงเสียดสีและคล้ายเย้ยหยันตัวเอง
“ไม่ต้องหรอก”
พูดจบเขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วก้าวลงจากรถ เซี่ยงหยวนนั่งอยู่ในรถต่ออีกพักหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองน่าจะพูดผิดไปแล้ว เมื่อครู่นี้ปากไวไปหน่อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาโดนพวกเด็กเส้นรังแกก็ยังจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาอีก แบบนี้คงทำให้เขารู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิมสินะ
ทำไมพอเจอสวีเยี่ยนสือทีไร เธอถึงทำแต่เรื่องสิ้นคิดนะ!