ผู้คนแคว้นจ้าวชอบร้องรำทำเพลง โดยเฉพาะในเมืองหานตันที่มีเสียงดนตรีดังให้ได้ยินทุกคืน เวลากลับเคหสถานถูกกำหนดไว้ดึกมาก จึงได้ฉายาว่า ‘นครไร้นิทรา’ หลังจากจ้าวหวังเสด็จสวรรคตได้ไม่นาน ทั้งแผ่นดินก็ร่วมไว้ทุกข์ ห้ามไม่ให้บรรเลงมโหรีหาความสำราญ แต่ชาวจ้าวก็ยังคิดค้นการร่ายรำที่ไม่มีเสียงขึ้นมาได้ ผู้แสดงจะเคลื่อนไหวอย่างเคร่งขรึมสง่างามและมีสีหน้าหม่นหมอง สอดคล้องกับบรรยากาศในตอนนี้เป็นอย่างดี จึงไม่เป็นที่ติฉินของใคร สมแล้วที่ผู้คนแคว้นอื่นมักพูดกันว่าชาวจ้าวไหวพริบดี เฉลียวฉลาดกว่าคนที่อื่น
เสียงฝีเท้าม้าดังกุบๆ ย่ำไปตามถนนใหญ่ ตันคุยนั่งอยู่บนหลังอาชาฝีเท้าดี ควบไปยังคุกนอกเมืองหลวงด้วยความเร็วสูง เสียงจ้อกแจ้กของผู้คนที่ยืนดูการร่ายรำสองข้างทางถึงจะเงียบหายไปได้
สองฝั่งของคุกคือผู้คุมที่ถือคบไฟยืนนิ่งราวรูปปั้น มองดูน่าขนลุกภายใต้แสงไฟที่วูบไหวตามแรงลม แต่ตันคุยเป็นมือกระบี่แคว้นเยียน เห็นฉากสยดสยองมาจนคุ้นชิน จึงไม่รู้สึกหวาดหวั่นกับภาพนี้แต่อย่างใด
เขาลงจากหลังม้า ร่างสูงตระหง่านราวต้นสนใหญ่ยืนตรงสง่า สองตาจับจ้องประตูใหญ่ของคุกเขม็ง
ไม่นานนัก บานประตูก็เปิดออกจนสุด ใครคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ
ตันคุยเคลื่อนไหวในทันใด เขาสาวเท้าวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงไปก่อนตัว “ในที่สุดแม่นางก็ออกมาเสียที!”
คนคนนั้นชะงักเท้าภายใต้แสงจันทร์ เงาร่างทอดไปบนพื้นเป็นทางยาว ครู่ใหญ่ถึงได้มีท่าทีตอบสนอง “ตันคุย?”
น้ำเสียงแปลกไปเล็กน้อย แต่เนื้อเสียงไม่ผิดไปจากวันวาน ไม่ได้กังวานใสเฉกเช่นเด็กสาวทั่วไป กลับค่อนข้างต่ำ ตันคุยเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น “ข้าเอง แม้แต่ข้าท่านก็จำไม่ได้แล้วหรือ”
นางค่อยๆ เดินเข้ามาหา “จำได้”
เมื่อครู่ตันคุยยืนนิ่งขึงเหมือนหินก้อนใหญ่ แต่ตอนนี้ทำราวกับเป็นนกน้อยที่ถลาบินออกจากกรง ฝีเท้าเบาหวิวและว่องไว น้ำเสียงเบิกบาน เขารีบพานางเดินมา ประคองนางขึ้นหลังอาชาพลางถาม “หลังจากนี้แม่นางคิดจะทำเช่นไรต่อ”
คนบนม้านิ่งไปนานถึงค่อยตอบว่า “ข้ายังไม่ได้คิดเลย”
ตันคุยประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อก่อนไม่ว่าเป็นเรื่องใดนางก็เฉียบขาดฉับไวเสมอ เหตุใดถึงเปลี่ยนไปได้เพียงนี้กันเล่า แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายอยู่ในคุกมาครึ่งปีเขาก็พอเข้าใจได้ เพิ่งออกจากคุกจึงยังปรับตัวไม่ทันกระมัง
เขาจูงม้าเดินไปข้างหน้าช้าๆ ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างนั้น จวบจนถึงถนนใหญ่ สองข้างทางแขวนโคมไฟสว่างไสว ผู้คนร่ายรำครึกครื้น ชายหนุ่มถึงอาศัยแสงไฟมองคนบนหลังม้า แล้วก็ต้องสะดุ้งอยู่ในใจ
นางยังคงสวมเสื้อผ้าบุรุษชุดเดียวกับตอนที่เข้าไปในคุก ทว่าตอนนี้เก่าโทรมเต็มที ที่เห็นได้ชัดคือดูหลวมโพรกกว่าตอนเข้าคุกมากนัก ร่างใต้อาภรณ์แบบบางเหมือนพร้อมจะปลิวไปตามลมได้ทุกเมื่อ ใบหน้าขาวซีด ปลายคางเรียวแหลมจนน่าสงสาร
นางเป็นเด็กสาวที่เพิ่งอายุได้เพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ครึ่งปีที่ถูกขังอยู่ในคุกคงผ่านความลำบากมาไม่น้อย ชายหนุ่มกำยำสูงเก้าฉื่อ อย่างตันคุยพอเห็นแล้วยังถูกกระตุ้นความเป็นแม่ขึ้นในหัวใจ เขาสูดจมูกแล้วพูดว่า “ข้าจะพาแม่นางไปอยู่ที่เรือนชิงเฟิงสักระยะ ที่นั่นงดงามและเงียบสงบ เหมาะจะใช้เป็นที่พักฟื้น”
“เจ้าตัดสินใจตามที่เห็นควรแล้วกัน” ฝ่ายตรงข้ามไม่มีท่าทียินดียินร้าย
ตันคุยพยายามคาดเดาว่าเวลานี้นางคิดอะไรอยู่ในใจ พลันนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง จึงถามขึ้นอย่างลังเล “แม่นาง…คงไม่คิดจะแก้แค้นกงซีอู๋ทันทีที่ออกมาหรอกกระมัง”
เด็กสาวเอียงคอ แต่ละคำถูกเอ่ยเอื้อนออกมาช้าๆ เหมือนผ่านการไตร่ตรองมานับครั้งไม่ถ้วน “ก็เรียกได้ว่าอยากแก้แค้น ไฉนจึงไม่ได้เล่า”
ชายหนุ่มถอนหายใจ “ไม่ใช่ไม่ได้ เพียงแต่โอกาสยังมาไม่ถึง กงซีอู๋เป็นศิษย์พี่ของท่าน ท่านรู้จักความสามารถของเขาดีกว่าข้า ท่านเพิ่งออกจากคุก หาที่ตั้งตัวให้มั่นคงก่อนค่อยวางแผนดีกว่า”
คนบนหลังม้าพยักหน้า “ถูกของเจ้า ข้าแค่กำลังคิดว่าตอนนี้ศิษย์พี่คนนี้ของข้าน่าจะอยู่ที่ใด”
แต่ก่อนไม่ว่าจะหมางใจด้วยเรื่องหยุมหยิมเพียงไร นางก็ต้องเอาคืนให้ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่คราวนี้นางยอมฟังเขา ตันคุยถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของผู้ทรงภูมิกงซี ตั้งแต่ที่ผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ให้เขาสำเร็จวิชาจากสำนัก เขาก็ไม่เคยบอกใครว่าจะไปไหน มีแต่ต้องรอให้เขาปรากฏตัวขึ้นเอง”
อาชาที่เดินช้าๆ อย่างเรียบร้อยมาโดยตลอดพลันเตะขาร้องฮี้ ตันคุยรีบปลอบมันให้หายตื่น “แม่นางเป็นอะไรไป”
“เมื่อครู่เจ้าพูดถึง…ผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่?”
“ขอรับ”
“อาจารย์ข้าคือผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่?!”
“ขอรับ”
ร่างบนหลังม้าเอียงวูบ ก่อนร่วงตกลงไปบนพื้นดังตุ้บ ตันคุยรีบเข้าไปประคองนางขึ้นมา ได้ยินนางอุทานด้วยความเร็วปกติ แต่เป็นคำที่เขาฟังไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง “แม่เจ้า!”