กล่อมเกลาปราชญ์หญิง
ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 1
เด็กสาวบีบจมูกดื่มยารวดเดียวหมด ขมเสียจนต้องหดคอ พอรสขมจางลงแล้ว นางก็หลับตาสูดหายใจเอากลิ่นหอมของดอกไม้นอกหน้าต่างเข้าไปลึกๆ สักพักก็ลืมตาขึ้นพร้อมความตั้งใจแน่วแน่…ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เค้นสมองขบคิดไปก็เท่านั้น เอาตัวรอดให้ได้ไปวันๆ ดีกว่า ไม่ว่าจะชีวิตแบบไหนก็เป็นชีวิตคน แค่คอยเลี่ยงไม่ให้เจอคนชื่อกงซีอู๋นั่นก็น่าจะพอแล้ว
ประตูถูกผลักออก ตันคุยเดินพรวดพราดเข้ามาในห้องจนแทบชนโคมสำริดที่ตั้งอยู่ข้างประตูล้ม อี้เจียงเห็นอีกฝ่ายทำท่าร้อนรน จึงยกชามยาเปล่าๆ ให้ดู “ข้ากินหมดแล้ว ไม่ต้องบังคับหรอก”
“ข้าไม่ได้จะมาบังคับให้ท่านกินยา รีบตามข้าออกไปเร็วเข้า” ฝ่ายตรงข้ามหยิบผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่งส่งให้ แล้วเปิดประตูออกจนสุดเพื่อเชิญนางเดินออกไป
เกิดคำถามขึ้นมากมายในใจอี้เจียง แต่พูดมากก็พลาดมาก รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นดีกว่า
ตันคุยนำทางอี้เจียงออกจากห้อง เดินไปตามเฉลียงยาวเหยียดได้สักพัก ก็เห็นประตูบานกว้างแขวนม่านมุกอยู่ตรงสุดทาง เสียงกลองดังออกมาให้ได้ยินจากข้างใน
อี้เจียงรู้ว่าห้องนี้คือห้องโถงใหญ่ วันแรกที่มาถึงก็เคยเดินผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าห้องนี้เป็นที่ชุมนุมของเหล่าบัณฑิต ไฉนจึงมีเสียงกลองได้เล่า
ตันคุยหยุดยืนตรงข้างประตู ใช้มือข้างหนึ่งแหวกม่านมุกเพื่อให้อี้เจียงเดินเข้าไปก่อนพลางกระซิบเบาๆ “ยืนดูอยู่ตรงประตูก็พอขอรับ อย่าเพิ่งเข้าไปให้พวกเขาแตกตื่น”
อี้เจียงชะโงกหน้าจากข้างหลังองครักษ์ คนกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงอยู่ในห้อง แต่ละคนแต่งกายหรูหรา ห้อยหยกประดับไว้ที่เอว ดูก็รู้ว่าเป็นชนชั้นสูง
เดิมตรงกลางห้องเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ทว่ายามนี้มีกลองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ หญิงสาวมีผ้าคลุมหน้าคนหนึ่งกำลังร่ายรำอยู่บนกลอง ด้านล่างมีคนล้อมวงใช้ไม้เคาะขอบกลองเป็นจังหวะช้าเร็วสลับกัน รับกับการร่ายรำอันคล่องแคล่วปราดเปรียวของหญิงสาว
กลางวันแสกๆ ทุกคนกลับมาหาความรื่นเริงกันที่นี่ ตามหาเหล่าบัณฑิตที่มักจับกลุ่มถกปรัชญาวิชาความรู้ไม่เจอแม้แต่คนเดียว
“คนพวกนี้มาด้วยเหตุใดกันหรือ” นางเหลือบมองตันคุย
“มาพบท่าน”
“พบข้า?”
ตันคุยดึงอี้เจียงให้หลบมุม “ท่านเคยเป็นเหมินเค่อที่ผิงหยวนจวินยกย่องให้เป็นแขกชั้นสูง พวกเขาเลยอยากดึงท่านมาเป็นพวกน่ะสิ”
จะดึงคนมาเป็นพวกก็ต้องเอาคณะระบำกลองมาด้วยหรือ ช่างจริงใจเหลือเกินนะ อี้เจียงค่อนขอดอยู่เงียบๆ
องครักษ์พลันถามขึ้น “แม่นางยังจำสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมายฉบับนั้นได้หรือไม่”
อีกฝ่ายคงหมายถึงจดหมายที่ส่งเข้าไปในคุกฉบับนั้น อี้เจียงรับว่าอืมอย่างไม่เต็มเสียง จะให้บอกได้อย่างไรว่านางอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว เขียนเป็นอักษรจีนตัวย่อ ค่อยมาว่ากันใหม่
ตันคุยพูดต่อไปเรื่อยๆ “วันนี้จ้าวจ้งเจียวที่เป็นฉางอันจวินก็มาด้วย ถึงตอนนั้นท่านก็ใช้โอกาสนี้ไปเข้ากับเขาเสีย”
การไปเข้ากับฉางอันจวินน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขียนมาในจดหมาย อี้เจียงคิดได้เช่นนั้นก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “แต่ข้าว่าตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุด เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้ว “คุยไม่เข้าใจความคิดของแม่นาง ที่ท่านออกจากคุกมาได้ก็เพราะผิงหยวนจวินช่วยเหลือ ถ้าไม่ใกล้ชิดฉางอันจวินตามที่เขาสั่ง ไม่เท่ากับขัดใจเขาหรือ”
คราวนี้อี้เจียงเข้าใจแล้ว ตอนแรกนางยังนึกสงสัยว่าเหตุใดตันคุยซึ่งเป็นแค่มือกระบี่คนหนึ่งถึงได้ช่วยนางออกจากคุกได้ แสดงว่าจดหมายเขียนถึงเรื่องนี้สินะ! ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าอะไรคือความรู้เปลี่ยนชีวิต จะโทษก็ต้องโทษที่อ่านหนังสือไม่ออกนั่นแหละ
อี้เจียงยังอยากสืบจุดประสงค์ของผิงหยวนจวินต่อ จึงแกล้งพูดไปว่า “ตามมุมมองของข้า ผิงหยวนจวินคิดมากเกินไปที่ทำเช่นนี้”
ตันคุยติดกับอย่างที่คิด เขาส่ายหน้าตอบกลับมาว่า “ก็ไม่เชิง จ้าวจ้งเจียวเป็นลูกคนโปรดของพระพันปีจ้าว ต้าหวังองค์ใหม่เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นฉางอันจวิน หากท่านได้รับความไว้วางใจจากเขา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผิงหยวนจวินอย่างมาก”
อี้เจียงทำสีหน้าเรียบเฉย แต่รำพึงอยู่ในใจว่า…เช่นนี้นี่เอง ตอนนี้นางยังไม่พร้อมจะให้วิญญาณเหมินเค่อลงประทับร่าง เลยตั้งใจว่าจะหาข้ออ้างแอบออกมาก่อน แต่ยังไม่ทันได้ขยับปาก ตันคุยก็กระตุกแขนเสื้อนางทีหนึ่ง พออี้เจียงเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเขากำลังบุ้ยปากไปทางประตู นางมองตามสายตาเขา เห็นกลุ่มคนสามสี่คนห้อมล้อมเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา
เฉลียงทางเดินทำจากไม้ บันไดทำจากหิน ดอกไม้ใบหญ้างามสงบ แต่เด็กสาวที่เดินเข้ามาปล่อยผมยาวสยาย สวมชุดสีแดง ดูค่อนข้างขัดตาเมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมรอบตัว นางเข้าไปนั่งกลางกลุ่มชนชั้นสูงอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน บางคนยังลุกขึ้นคำนับนางด้วยซ้ำ อี้เจียงมองแล้วตกตะลึงอยู่ในใจ
นางรู้มาตั้งแต่สมัยที่เรียนหนังสือแล้วว่ายุคชุนชิวและยุคจั้นกั๋ว ไม่เคร่งครัดจารีตธรรมเนียม ไม่มีข้อจำกัดสำหรับสตรีมากมายนัก ในบรรดาแคว้นทั้งหมด แคว้นจ้าวถือเป็นผู้นำเรื่องการประทินโฉมและการแต่งตัวที่คนทั้งแผ่นดินเอาอย่าง ถึงกับมีการใช้สำนวน ‘เยื้องย่างตามหานตัน’ ใช้กันอย่างแพร่หลาย ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่ตนเองกลายเป็นเหมินเค่อหญิง แต่เมื่อเห็นหญิงสูงศักดิ์นั่งชมความรื่นเริงในที่สาธารณะท่ามกลางกลุ่มบุรุษก็ยังตกใจอยู่ดี
ระหว่างที่อี้เจียงยังตกตะลึงอยู่นั้น ตันคุยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พลันขยับตัว “แม่นางรอสักครู่ อีกประเดี๋ยวท่านต้องแสดงตัวแล้ว”
อี้เจียงชะงัก ไหนว่าให้รอจนกว่าฉางอันจวินจะมาอย่างไรเล่า
“ท่านตันคุย” ตันคุยเดินเข้าไปในห้อง ชนชั้นสูงในที่นั้นที่รู้จักเขาพากันลุกขึ้นคารวะ ทำให้อี้เจียงพบว่ามือกระบี่ผู้นี้โด่งดังกว่าที่ตนคิดไว้