กล่อมเกลาปราชญ์หญิง
ทดลองอ่าน กล่อมเกลาปราชญ์หญิง บทที่ 1
ตันคุยผู้นี้รูปร่างกำยำสูงใหญ่ถึงเก้าฉื่อ พอก้าวเข้าไปยืนในห้อง นักแสดงในคณะระบำกลองต่างชะงักเงียบเสียงแล้วออกจากห้องทั้งหมด เขายกมือคารวะไปโดยรอบพลางยิ้มกล่าว “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อทราบจุดประสงค์ที่พวกท่านมาในวันนี้แล้ว จึงสั่งให้ข้ามาทักทายทุกท่าน”
“ไม่ต้องทักทงทักทายหรอกน่า” ชนชั้นสูงที่พูดกับเขาบอกยิ้มๆ “ผู้น้อยนั่งอยู่ในนี้มานาน ไม่อยากรออีกแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านหวนเจ๋อหายตัวไปนาน ซ้ำยังออกจากจวนของผิงหยวนจวิน พอได้ข่าว ผู้น้อยจึงรีบมาด้วยตนเอง หวังว่าท่านจะเข้าใจหัวอกคนที่อยากได้คนเก่งๆ มาช่วยงาน”
อี้เจียงลูบคางอยู่ตรงมุมห้อง เท่าที่ฟัง…ดูเหมือนคนคนนี้จะไม่รู้ว่านางออกมาจากคุก
หรือว่าศิษย์พี่คนนั้นจะขัดแย้งกับนางอย่างลับๆ ถึงไม่ทำเป็นเรื่องใหญ่ให้คนรู้กันทั่ว นางจะได้ไม่เสียหน้ามากเกินไป?
จากที่เคยคิดว่าจะขออยู่ห่างๆ เขาอย่างระวังตัว ตอนนี้นางเริ่มสนอกสนใจในตัวศิษย์พี่คนนี้ขึ้นมาแล้วนิดๆ
ตันคุยยังคงเจรจาปราศรัยกับชนชั้นสูงกลุ่มนั้น แต่อย่างไรเขาก็เป็นมือกระบี่ ไม่ใช่ขุนนาง จึงไม่เชี่ยวชาญด้านนี้ อี้เจียงคิดว่าคนที่เคยคว้ารางวัลอันดับสามจากเวทีการแข่งขันโต้วาทีในมหาวิทยาลัยอย่างนางยังเก่งกว่าเขาหลายขุม จะว่าไปนางก็มีนิสัยประหลาด นั่นคือในเวลาที่ตนเองเกร็งหรือตื่นเต้นมากๆ แล้วพบว่าพวกเดียวกันแสดงผลงานไม่ดี ความเกร็งความตื่นเต้นนั้นจะหายไป
พูดกันอยู่นาน พวกชนชั้นสูงเริ่มหมดความอดทน ความเกรงอกเกรงใจในน้ำเสียงลดลงไปมาก ตันคุยเองก็อ่านสถานการณ์ออก จึงหันมามองทางอี้เจียงเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่นางควรออกหน้า อี้เจียงเดาว่าจ้าวจ้งเจียวนั่นน่าจะมาถึงแล้ว จึงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวออกไป
นางไม่รู้ว่าแต่เดิมเจ้าของร่างนี้มีนิสัยใจคอเช่นไร แต่จนถึงตอนนี้ไม่เห็นตันคุยแสดงความสงสัยในตัวนางมากเกินไปนัก แสดงว่าช่วงที่ผ่านมานางน่าจะวางตัวถูกแล้ว นั่นคือเหมินเค่อระดับเทพจะต้องทำตัวสูงส่งเยือกเย็นเข้าไว้
จะสูงส่งเยือกเย็นได้นั้นต้องทำอย่างไร นั่นคือเวลาตกใจให้ร้อง ‘อืม’ แทน ‘แม่เจ้า’ เวลาโมโหให้ร้อง ‘อ้อ’ แทนด่าทอ เวลาดีใจให้ทำหน้านิ่งๆ แทนหัวเราะ ‘ฮ่าๆๆ’ เวลาไม่รู้จะตอบเช่นไรให้บอกว่า ‘ข้ามีเหตุผลของข้า’
ดังนั้นอี้เจียงจึงเดินเข้าไปยืนข้างกลองยักษ์ด้วยสีหน้านิ่งเฉย รับการคารวะจากบุคคลในประวัติศาสตร์เหล่านี้ แม้หัวใจจะเต้นแรงเป็นรัวกลองก็ตาม
“ทุกท่านอุตส่าห์มาหา ผู้น้อยซาบซึ้งใจมากจริงๆ”
รอบตัวพากันตอบกลับมาว่า “ควรแล้ว ควรแล้ว”
อี้เจียงกล่าวต่อไป “ข้าออกจากจวนผิงหยวนจวินได้ระยะหนึ่งแล้ว เดิมทีตั้งใจจะไปให้ไกลจากแคว้นจ้าว แต่เมื่อเร็วๆ นี้ข้าได้พบคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นเจ้านายที่หลักแหลม จึงตัดสินใจอยู่ในแคว้นจ้าวต่อไป”
นางกวาดตามองไปโดยรอบพลางนึกในใจว่า…ชมเชยเสียดูดีเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลที่จ้าวจ้งเจียวจะไม่หวั่นไหว
แน่นอนว่าตันคุยช่วยรับช่วงต่อให้ “เจ้านายที่หลักแหลมที่ผู้ทรงภูมิพูดถึงคือ…”
“ฉางอันจวิน”
ท่าทีของคนในที่นั้นแตกต่างกันออกไป มีทั้งตกตะลึง ผิดหวัง และอ่อนใจ แต่ทันใดนั้นใครบางคนก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น กลบเสียงพูดคนอื่นๆ ไปจนหมด
“เจ้านายที่หลักแหลมของผู้ทรงภูมิก็คือข้า?”
อี้เจียงหันไปมองตามเสียงแล้วชะงัก เพราะคนพูดคือเด็กสาวชุดแดงคนนั้น
เด็กสาวอะไรกัน เด็กหนุ่มชัดๆ ต่างหาก! เสียงก้องกังวาน หน้าตาหมดจดคมสัน แต่กลับแต่งชุดสตรี อี้เจียงอยากจะตะโกนออกมาให้ดังๆ ว่าให้ตายเหอะ อะไรเนี่ย เอาจริง? ล้อเล่นกันหรือ! แต่ก็ทำแค่ตีหน้าขรึมตอบไปว่า “อืม ถูกต้อง”
เหตุใดไม่มีใครบอกข้าว่าฉางอันจวินชอบแต่งหญิง!
ฉางอันจวินลุกขึ้นยืน สาบเสื้อชุดสตรีที่สวมอยู่แยกออก ปล่อยชายยาวลากพื้นอย่างไม่แยแส แต่ไม่มีใครแสดงความประหลาดใจออกมาสักคน เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวไม่ได้เพิ่งจะมีความชอบเช่นนี้แค่วันสองวัน
ร่างกายของเด็กหนุ่มยังไม่โตเต็มที่ เมื่อแต่งชุดสตรีมองเผินๆ จึงดูไม่ออก แต่ในเมื่อตอนนี้นางรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่ม จึงรู้สึกพิพักพิพ่วนกับการแต่งตัวเช่นนี้ อี้เจียงพยายามเบนสายตามองเลี่ยงไปทางอื่นอย่างแนบเนียน แต่ฉางอันจวินยังคงเดินเข้ามาหาสองก้าว เหมือนตั้งใจจะดึงสายตานางกลับมา มือหนึ่งเท้าเอวพลางเอียงคอมองนาง
ท่าทางเช่นนี้แสดงว่ามีเรื่องจะพูด อี้เจียงเตรียมตัวรับมือเต็มที่ สมองทำงานอย่างรวดเร็ว หน้าตาเครียดขรึมอย่างแท้จริงไม่ได้เสแสร้ง
แต่สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็แค่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “จ้งเจียวรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ผู้ทรงภูมิไม่รังเกียจ”
อี้เจียงถอนหายใจโล่งอก ดูแล้วก็เป็นเด็กหนุ่มนิสัยตรงไปตรงมาคนหนึ่ง อย่างมากก็แค่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจไปสักหน่อยเท่านั้น น่าจะรับมือไม่ยาก ตอนแรกนางตั้งใจจะทำหน้าเรียบเฉยผงกหัวให้ แต่คิดได้ว่าควรแสดงความเคารพ จึงทบทวนความทรงจำว่าก่อนหน้านี้ตันคุยค้อมคำนับเช่นไร จากนั้นก็ทำตาม
ฉางอันจวินดวงตายิ้ม “ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อจะเข้าไปอยู่ในจวนได้เมื่อไร จ้งเจียวจะได้สั่งให้คนเตรียมการไว้รับรอง”
นางมองไปด้านหลัง ตันคุยเห็นดังนั้นก็ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วช่วยตอบแทน “ผู้ทรงภูมิมีใจอยากทำงานรับใช้เจ้านาย ดังนั้นจึงออกเดินทางตามฉางอันจวินไปที่จวนได้ทุกเมื่อขอรับ”
“เช่นนั้นจ้งเจียวไม่รบกวนเวลาผู้ทรงภูมิแล้ว ขอกลับไปสั่งการบ่าวไพร่ก่อน เชิญท่านไปที่จวนยามเซิน* ได้เลย”
คนอื่นเห็นเช่นนี้ก็ไม่อยากอยู่ต่อ ต่างแยกย้ายไปคนละทางสองทางอย่างไม่ใคร่พอใจนัก พวกเขาอุตส่าห์มาด้วยความตื่นเต้นแต่ต้องกลับไปมือเปล่า มีหรือจะไม่เสียอารมณ์ ทว่าอีกฝ่ายเป็นฉางอันจวินผู้ที่พระพันปีรักมากที่สุด พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้
ตันคุยเดินออกไปส่งทุกคนด้วยตนเอง แล้วกลับมากระซิบบอกอี้เจียง “เท่าที่ข้าจำได้ ฉางอันจวินไม่ได้ว่าง่ายเช่นนี้ น่าแปลกจริงๆ ที่วันนี้ท่านทำให้เขารับอุปการะได้อย่างราบรื่น”
อี้เจียงคิดว่าคงเป็นเพราะผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมีชื่อเสียงโด่งดังมากกว่า ถึงอย่างไรก็มาจากจวนผิงหยวนจวิน ฉางอันจวินก็คงต้องให้เกียรติผิงหยวนจวินบ้าง