ทั้งคู่ไม่มีข้าวของอะไรให้เก็บ ค่ากินค่าอยู่ในเรือนชิงเฟิงนั้น ผิงหยวนจวินจัดการให้ทั้งหมด เรียกว่าเข้ามาอยู่อย่างสบาย จากไปอย่างสะดวก การไปถึงตรงเวลาเป็นมารยาทที่ดี ตันคุยคำนวณเวลาออกเดินทางไปจวนฉางอันจวิน โดยยังคงจูงม้าให้อี้เจียงนั่งเหมือนเดิม
เมืองหานตันมีลักษณะเช่นเมืองใหญ่ที่เจริญแล้ว ถนนกว้างขวาง ร้านรวงเรียงราย ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ อี้เจียงมองรถเทียมวัวที่แล่นผ่าน มองแผงขายถ่านเล็กๆ มองบ้านเรือนที่สร้างไว้สองข้างทางอย่างเป็นระเบียบ มองกำแพงสูงที่เห็นอยู่ไกลๆ ฉับพลันก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ที่นี่มานาน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสแสงแดดกับสายลมฤดูใบไม้ผลิของยุคนี้อย่างแท้จริง
ตันคุยเห็นอี้เจียงมองรอบตัวตาไม่กะพริบ ก็เดาว่าคงเป็นเพราะนางถูกขังมานานเกินไป ความเป็นแม่ในตัวพลันลุกฮือขึ้นอีกครั้ง เขาจงใจชะลอฝีเท้า นางจะได้ดูให้นานขึ้น
เดินเอื่อยๆ ไปตามถนนใหญ่หลายสาย เสียงจ้อกแจ้กจอแจก็หายไปเมื่อเข้ามาในเขตชนชั้นสูง เห็นได้ชัดว่าตันคุยสำรวจเส้นทางไว้ก่อนแล้ว จึงสามารถเดินเรื่อยๆ ไม่มีหยุดได้ตลอดทาง เขาชี้ไปข้างหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ถึงแล้วขอรับ”
อี้เจียงมองไป เห็นประตูไม้บานใหญ่หนาตั้งอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่สองต้น กำแพงสีเทาสูงตระหง่าน สร้างป้อมสูงไว้ตรงมุมซ้ายขวา มีทหารยามถือธนูยืนอยู่บนนั้น ตันคุยประคองนางลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้าไปแจ้งชื่อแซ่เสียงดัง ทหารยามก้มลงไปบอกคนข้างล่าง รอไม่นานก็มีคนมาเปิดประตู
นางเดินช้ามาก ตอนก้าวข้ามธรณีประตูก็ระมัดระวังเป็นพิเศษ
เดินผ่านประตูบานนี้เข้าไป นางก็จะกลายเป็นเหมินเค่อแล้ว ไม่ระวังตัวได้หรือ
บ่าวสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบออกมารับ จากนั้นก็หมุนตัวจ้ำพรวดๆ นำทั้งคู่เข้าไปข้างในโดยไม่พูดพร่ำอะไร
อี้เจียงนึกประหลาดใจ เผลอเร่งฝีเท้าตามไปโดยไม่รู้ตัว พอเดินมาถึงบันไดหินด้านหน้าห้องโถงก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งถืออาวุธยืนอยู่ในห้อง ฉางอันจวินนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประมุขในชุดทางการ เจ้าตัวเปลี่ยนจากเสื้อผ้าสตรีเป็นเสื้อคลุมสีขาวแต่ยังสยายผมเหมือนเดิม ดูสูงส่งสง่างามอยู่บ้าง
อี้เจียงเดินฝ่ากลุ่มทหารเหล่านั้นเข้าไปคำนับฉางอันจวิน เนื่องจากกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้ว่าท่าคำนับของตนเองถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ จึงดูเหมือนทำแบบขอไปที พอลุกขึ้นยืนตรงแล้วเห็นฝ่ายตรงข้ามมองนางยิ้มๆ ถึงได้รู้ว่าไม่น่าจะมีปัญหา
“ในที่สุดผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อก็มาแล้ว” รอยยิ้มของฉางอันจวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เอ้า คุมตัวผู้ทรงภูมิไปรอสอบปากคำ”
อี้เจียงไม่ทันตั้งสติก็ถูกทหารสองคนมายึดมือยึดเท้าเอาไว้ นางตกใจยิ่ง หรือว่าท่าคำนับเมื่อครู่จะไม่ถูก แต่ก็ไม่เห็นต้องถึงขั้นจับกุมกันเลยนี่!
ตันคุยเป็นคนเลือดร้อน เห็นดังนั้นก็ก้าวพรวดเข้ามาในห้อง “ฉางอันจวิน ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!”
ฉางอันจวินเอนตัวพิงเบาะ ยืดขาที่คุกเข่ามานานให้คลายอาการเมื่อยขบ “เสด็จแม่ทรงทราบแล้วว่าวันนี้ข้าไปเรือนชิงเฟิง ทรงเห็นว่าการที่ข้าใส่ชุดสีแดงไปชมการร่ายรำระหว่างช่วงไว้ทุกข์ให้เสด็จพ่อเป็นความผิดร้ายแรง จึงทรงลงโทษข้า”
มือกระบี่แคว้นเยียนขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ เหตุใดฉางอันจวินถึงต้องจับนาง”
ฝ่ายตรงข้ามกลอกตา “เหตุใดจะไม่เกี่ยวเล่า ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเป็นผู้คิดวางแผนสิ่งต่างๆ ของจวนข้า ข้าถูกลงโทษ ไม่เท่ากับว่าผู้ทรงภูมิบกพร่องในหน้าที่หรือ”
“ตะ…แต่นางไม่ได้ส่งเสริมให้ท่านทำเช่นนี้เสียหน่อย!” ตันคุยร้อนรนจนแทบติดอ่าง
ฉางอันจวินปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าอกออกไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง ค่อยสมกับที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ “เดิมทีข้าตั้งใจไว้ทุกข์ให้เสด็จพ่อ หากไม่ต้องไปเรือนชิงเฟิงก็ไม่ต้องสวมชุดแดง ไม่ต้องไปดูระบำกลองหรอก ถึงผู้ทรงภูมิจะไม่ได้สั่งให้ข้าทำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ทรงภูมิมีส่วนทำให้ข้าปฏิบัติตัวเช่นนี้”
“ท่าน…” ตันคุยโมโหจนหน้าแดงก่ำ
อี้เจียงก็อึ้งจนพูดไม่ออก มิน่าตันคุยถึงบอกว่าคนคนนี้ไม่ได้พูดง่าย ที่แท้ก็ไม่ใช่คนซื่อจริงๆ เป็นนางคิดตื้นเกินไปเอง ถึงนึกว่าอีกฝ่ายรับมือง่าย ถ้าให้เข้าไปอยู่ในคุกอีกครั้ง นางไม่เอาด้วยหรอก แต่จะหวังให้ตันคุยช่วยตนเองในสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้เลย ดูจากท่าทางฉางอันจวินก็รู้แล้วว่าเตรียมวางกับดักไว้ล่วงหน้า
นางครุ่นคิดก่อนโพล่งออกมา “เห็นท่านทำเช่นนี้ ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา”
ตอนแรกฉางอันจวินกำลังจะโบกมือสั่งให้ทหารคุมตัวนางออกไป ได้ยินเช่นนั้นก็ลดมือลง “อ้อ? เรื่องอะไร ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยซิ”
“ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง นางยอมใช้เงินที่มีติดตัวทั้งหมดซื้อกล่องที่ทำขึ้นอย่างวิจิตรสวยงามจนเหลือแค่ถุงเงินเปล่าๆ แต่นางไม่ทันเห็นว่ากุญแจกล่องเสีย จึงใส่ถุงเงินเอาไว้ในนั้นแล้วเดินกลับบ้าน ปรากฏว่าระหว่างทางไม่ทันระวัง ถูกโจรเปิดกล่องชิงถุงเงินไปได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางควรซื้อกล่องใบนี้หรือไม่ควรกันแน่”
ฉางอันจวินอดจะขยับนั่งตัวตรงไม่ได้ “หมายความว่าอย่างไร”
อี้เจียงตอบ “ถ้านางไม่ซื้อกล่อง ก็จะไม่ใส่ถุงเงินไว้ในกล่องจนถูกโจรขโมยไป แต่โชคดีที่นางซื้อกล่องใบนี้ ใช้เงินที่พกติดตัวไปจนหมด แม้จะถูกขโมยถุงเงินก็ไม่สูญเสียอะไร ดังนั้นข้าจึงคิดไม่ตกว่านางทำถูกหรือไม่ที่ซื้อกล่องใบนี้”
ฝ่ายตรงข้ามกลอกตาน้อยๆ สีหน้าดูแปลกประหลาดขึ้นทุกที “เจ้าจะบอกว่าเจ้าเป็นกล่องใบนี้?”
นางทำใบหน้าเรียบเฉยเพื่อแสดงท่าทีสูงส่งเยือกเย็น ขณะในใจแอบร้องเชอะอยู่