สหายอะไรกันเล่า ตัวนางเองนี่แหละ อุตส่าห์กัดฟันใช้เงินสดที่มีซื้อกระเป๋ามาใบหนึ่ง ปรากฏว่าเพิ่งจะสะพายกระเป๋าออกจากร้านไม่ทันไร กระเป๋าสตางค์ก็ถูกล้วงไป ต่อมานางเอาแต่สงสัยไม่หายว่าตนเองคิดถูกหรือไม่ที่ซื้อกระเป๋าใบนั้น วันนี้ระหว่างกำลังร้อนรนก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่คนฉลาดมักคิดมากกว่าคนอื่น นางจึงปรับเรื่องเสียใหม่ เล่าให้วกวนเล็กน้อย
หากเหมินเค่อไม่ใช้ฝีปากจะยังชีพได้อย่างไร บรรดาเหมินเค่อที่นางอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์ก็เหมือนจะชอบคุยโวกันทุกคน เพียงแต่คุยอย่างมีศิลปะเท่านั้น
ฉางอันจวินกวาดตามองอี้เจียง ขบคิดอยู่นานอย่างจริงจัง
แต่ก่อนอี้เจียงเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นเคล็ดลับการคาดเดาความคิดคนอื่นจากสีหน้า ทว่าตอนนั้นนางเพียงอ่านเอาสนุก จึงจำไม่ได้ว่าหนังสือเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง ตอนนี้มาคิดดูก็รู้สึกเสียดายยิ่งนักที่ไม่ได้ตั้งใจศึกษาให้ดี ดังนั้นที่เขาว่ากันว่าพอถึงเวลาจำเป็นจะแค้นใจที่อ่านหนังสือมาไม่มากนั้นหมายถึงสถานการณ์เช่นในตอนนี้นั่นเอง
“เข้าใจแล้ว” ในที่สุดฉางอันจวินก็ใช้ความคิดเสร็จ แต่สีหน้ายังไม่ไว้วางใจเท่าไร
อี้เจียงคิดในใจ เข้าใจอะไรมิทราบ ข้าพูดวกไปวนมา ขนาดตนเองยังไม่เข้าใจเลย!
ฉางอันจวินแค่นเสียงขึ้นจมูก แม้แต่น้ำเสียงก็ขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม “ตอนที่ข้าไปจวนเสด็จอาคราวนั้น เจ้าตำหนิข้าต่อหน้าธารกำนัลอย่างรุนแรงว่าไม่ควรใส่ชุดสตรี ไฉนวันนี้อยู่ๆ กลับยกย่องข้าว่าเป็นนายผู้หลักแหลม ถ้าข้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย เจ้าก็คงนึกว่า ‘นายผู้หลักแหลม’ เช่นข้าอ่อนแอและรังแกง่ายน่ะสิ”
อี้เจียงเปลือกตากระตุก อยากจะกู่ร้องออกมาให้สุดเสียง ยังไม่หมดเรื่องอีกหรือเนี่ย! ผิงหยวนจวิน เจ้าขุดหลุมฝังข้าชัดๆ!
ฉางอันจวินลุกขึ้นยืนพลางแค่นยิ้ม “ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์ของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ แต่เจ้าเอาอะไรมาคิดว่าข้าจะยอมรับคนที่พูดจาจาบจ้วงตนเองเข้ามาอยู่ในการอุปการะ?”
“นั่นเพราะ…” อี้เจียงขยุ้มชายแขนเสื้อแล้วบิดไปมา ก่อนหลับหูหลับตาตอบไปว่า “เพราะตอนนั้นข้าตั้งใจน่ะสิ”
ฝ่ายตรงข้ามชะงัก “อะไรนะ!”
นางพยายามปั้นคำโกหกที่ฟังดูแนบเนียน “ตอนที่ข้ายังรับใช้ผิงหยวนจวินก็ดูออกแล้วว่าฉางอันจวินเป็นคนเก่งกาจเพียงไร ข้าพยายามหาโอกาสเข้าสวามิภักดิ์ต่อท่านมาโดยตลอด แต่ไม่อยากทำให้ผิงหยวนจวินสงสัย จึงแสร้งสร้างความหมางใจให้ท่าน เพื่อที่วันหน้าจะเข้าสวามิภักดิ์ได้โดยไม่มีใครจับตามอง”
ฉางอันจวินหรี่ตามองอี้เจียงเหมือนกำลังประเมินว่าจริงเท็จเพียงใด
ในเมื่อตั้งใจแต่งเรื่องแล้วก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด อี้เจียงบอกด้วยเสียงอันดัง “ผู้น้อยคือกล่องใบนั้น นายท่านจะซื้อหรือไม่!”
อีกฝ่ายปรายตามอง และกวาดตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงค่อยโบกมือในที่สุด “ก็ได้ ข้าจะลองซื้อดูก่อน ถ้าไม่ดีค่อยโยนทิ้งก็ไม่สาย ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เสียเปรียบอยู่แล้ว”
พวกทหารพากันเดินออกจากห้อง อี้เจียงแอบถอนหายใจเงียบๆ อย่างโล่งอก
พ่อบ้านเห็นท่าทีเจ้านายก็เข้ามาพาทั้งคู่ไปยังเรือนพัก คราวนี้อี้เจียงจ้ำเร็วๆ จนตันคุยเกือบตามไม่ทัน
ปรากฏว่าเพิ่งจะเดินออกจากห้องก็ถูกฉางอันจวินเรียกไว้อีกครั้ง
“จริงสิ ข้าอยากถามแต่แรกแล้ว ตอนไอ้โจรนั่นขโมยถุงเงินออกจากกล่อง ไฉนมันถึงไม่รู้ว่าในถุงไม่มีเงิน แค่หยิบขึ้นมาก็รู้แล้วนี่ ใต้หล้านี้มีโจรโง่เง่าเช่นนี้ด้วยหรือ”
อี้เจียงคิดในใจ ข้าอุตส่าห์ลำบากแต่งเรื่องตั้งนาน จะถามซักไซ้ไปทำไมอีก!
ตอนนี้ภายในจวนของฉางอันจวินไม่ใคร่สงบนัก ข่าวการมาถึงของผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อราวกับเป็นสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดดอกไม้ให้บานสะพรั่งเต็มสวนในชั่วข้ามคืน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่คิดว่าดอกไม้หอม
ฉางอันจวินไม่ได้เลี้ยงเหมินเค่อเป็นงานอดิเรกอย่างผู้เป็นอา นับตั้งแต่มีจวน เขาเพิ่งรับเหมินเค่อแค่สองคนเท่านั้น คนหนึ่งมาจากแคว้นฉู่ นามเซินซี ส่วนอีกคนมาจากแคว้นหาน นามเผยยวน
เดิมทีเซินซีเป็นลูกหลานชนชั้นสูงในแคว้นฉู่ แต่กระทำความผิดจึงลี้ภัยมาอยู่แคว้นจ้าว แล้วได้ฉางอันจวินรับเอาไว้ ส่วนเผยยวนเป็นสามัญชน อุปนิสัยอ่อนโยน ดังนั้นจึงเจียมเนื้อเจียมตัวกับเซินซี
ยามเข้าไต้เข้าไฟ เซินซีตบประตูห้องของเผยยวนให้เปิดออก ก้าวเข้ามาเหยียบเบาะนั่งของอีกฝ่ายโดยไม่ถอดรองเท้าแล้วถามอย่างหัวเสีย “ได้ยินว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเข้ามาอยู่ในจวน เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”
เผยยวนวางม้วนหนังสือไม้ไผ่ในมือลงเป็นอันดับแรก ก่อนจะย้ายเทียนบนโต๊ะที่เกือบไหม้ติดชายเสื้ออีกฝ่ายออกมาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นตอบด้วยรอยยิ้ม “เพิ่งได้ยินเมื่อครู่นี้เอง เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”
คำตอบที่ได้รับทำให้เซินซีโมโหหนักกว่าเดิม “เจ้ายังยิ้มออกอีกหรือ”
เผยยวนพยักหน้ารับ “แน่นอนสิ ข้าชื่นชมผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมานานแล้ว ตอนนี้ได้มีเจ้านายคนเดียวกันกับผู้ทรงภูมิ ถือเป็นผลบุญที่สะสมมาสามชาติทีเดียว”