ฝ่ายตรงข้ามตวาดลั่น “โง่เง่า! หวนเจ๋อเป็นแค่เด็กไร้ความรู้คนหนึ่ง มีคุณสมบัติให้ได้รับการยกย่องเพียงนั้นเสียที่ใด ก็แค่อาศัยชื่อเสียงสำนักกุ่ยกู่เที่ยวทำตัวสูงส่งหลอกใครต่อใครไปทั่วเท่านั้น!”
ปกติเวลาเซินซีโมโห เผยยวนจะรีบก้มหน้าสงบปากสงบคำ แต่ไม่รู้วันนี้เขาไปรวบรวมความกล้าจากที่ใด จึงได้ลุกพรวดขึ้นยืนแล้วถลึงตาใส่ “บัณฑิตอย่างเราๆ ถือมารยาทเป็นสำคัญ เจ้ายังไม่ทันได้พบผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อก็ว่าร้ายเสียเพียงนี้ จะมีอะไรได้เล่า นอกเสียจากกลัวนางจะมาเด่นกว่าตนเอง!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เผยยวนตอบโต้เซินซี เขาโมโหจนใบหน้าเขียวคล้ำพลางกัดฟันกรอด “บัณฑิตสำนักข่งจื่อหัวโบราณเช่นเจ้าทุกคน! บัณฑิตสำนักนิติธรรมอย่างข้าชิงชังพวกชอบทำตัวเลิศหรูให้คนเยินยอเช่นนี้ที่สุด นี่เจ้ายังจะไปเข้าพวกกับคนพรรค์นั้น? ข้ารู้สึกเหยียดหยามเจ้าเหลือเกิน!”
เผยยวนเบะปาก สองแก้มป่องด้วยโทสะ ทันใดนั้นเขาก็จับคอเสื้ออีกฝ่ายลากออกไปนอกเรือน
เซินซีตกใจอย่างมาก เขาเซไปตามแรงกระชาก ก่อนจะโดนเหวี่ยงออกไปล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่หน้าเรือนจนมือเปื้อนดินเต็มไปหมด พอหันไปมองก็เห็นเผยยวนเกาะขอบประตูพูดเสียงดังลั่น “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว จำเอาไว้ว่าทีหลังหากยังว่าร้ายผู้ทรงภูมิหวนเจ๋ออีก ข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่!” พูดจบก็กระแทกประตูปิดดังปัง
เซินซีอ้าปากกว้าง เจ้านี่เพี้ยนไปแล้วหรือไร
อี้เจียงเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังจะกินอาหารเย็น
จานหนึ่งเป็นเนื้อแพะต้มที่ใส่มาทั้งชิ้นโดยไม่ได้หั่น จานหนึ่งเป็นแป้งแผ่นกลมที่ผิวเป็นสีเหลืองแก่ จานหนึ่งเป็นปลา ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากนั้นยังมีข้าวคลุกข้าวโพดอีกหนึ่งถ้วย แม้หน้าตาจะธรรมดาๆ แต่กลิ่นก็หอมฉุย
ธรรมเนียมของที่นี่ต้องแยกกันกิน ดังนั้นจึงมีอาหารสองชุดสำหรับตันคุยและอี้เจียงคนละชุด
ความจริงอี้เจียงค่อนข้างตื่นเต้นดีใจทีเดียว เพราะตอนอยู่ในเรือนชิงเฟิง พวกนางได้กินอาหารสองมื้อต่อวันเท่านั้น นางมักจะกินไม่อิ่มแต่ก็ไม่กล้าพูด พอเข้ามาอยู่ในจวนฉางอันจวินถึงได้กินวันละสามมื้อเหมือนเมื่อก่อน
ดูจากจุดนี้ การเป็นเหมินเค่อก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน อย่างน้อยก็ได้กินอิ่ม
ตันคุยก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดไม่จา เพียงครู่เดียวก็จัดการอาหารส่วนของตนจนเกลี้ยง เมื่อเช็ดปากเสร็จเรียบร้อยก็พูดกับอี้เจียงว่า “แม่นางค่อยๆ กินนะขอรับ ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่”
อี้เจียงพยักหน้า มองตามเขาเดินออกไปพ้นเรือนจึงค่อยลุกขึ้นมา หาม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ยังไม่ได้เขียนจากในห้อง ตั้งใจว่าจะจดบันทึกสิ่งที่ประสบพบเจอในวันนี้
น่าเสียดายที่ลายมือพู่กันของนางน่าเกลียดยิ่งนัก อีกอย่างม้วนหนังสือไม้ไผ่ก็มีพื้นที่จำกัด นางจึงต้องงัดความสามารถในการย่อประโยคมาใช้ แล้วปิดท้ายด้วยการเขียนสรุปว่า
‘ฉางอันจวินเป็นหนุ่มวัยรุ่นตอนปลายนิสัยจูนิเบียว เจ้าคิดเจ้าแค้น ทั้งยังมีรสนิยมชอบแต่งหญิง’
ไม่รู้ว่าตอนนี้คือวันเดือนปีอะไร นางจึงเขียนลงไปว่าวันที่แปดสิบสี่
เขียนเสร็จก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก อี้เจียงเอาม้วนหนังสือไม้ไผ่ไปซ่อนแล้วกลับมานั่งกินข้าวต่อ
สักพักตันคุยก็เดินกลับเข้ามาในเรือน ระหว่างที่อี้เจียงจัดการกับเนื้อแพะทั้งชิ้น ก็ได้ยินเขาพูดขึ้นว่า “เรียนแม่นาง มีจดหมายถึงท่าน”
ความอยากอาหารของอี้เจียงหายไปกว่าครึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ผิงหยวนจวินส่งมาหรือ”
ตันคุยสั่นหัว สีหน้าดูประหลาดชอบกลขณะยื่นจดหมายมาให้
อี้เจียงรับมาดู บนซองไม่ได้เขียนอะไรทั้งสิ้น แต่มีต้นหญ้าสีม่วงใบเรียวเล็กสามใบติดอยู่ นางพลิกกลับไปกลับมาอยู่สองรอบ ก่อนเงยหน้าขึ้นถามตันคุย “แน่ใจหรือว่าส่งมาให้ข้า?”
ตันคุยกำลังจะตอบ เสียงของใครบางคนก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “ยามคนสำนักกุ่ยกู่ส่งจดหมายถึงกันจะใช้ต้นหญ้าสีม่วงใบเรียวเล็กเป็นสัญลักษณ์ ดังนั้นผู้รับย่อมต้องเป็นผู้ทรงภูมิอยู่แล้ว”
อี้เจียงหันไปมอง ชายหนุ่มคนหนึ่งเกาะอยู่นอกหน้าต่าง กำลังจ้องนางเขม็ง พอทั้งคู่ประสานสายตากัน เขาก็สูดหายใจเฮือกแล้วหันหลังก้าวเร็วๆ
ตันคุยตามออกไปอย่างรวดเร็วพลางตวาด “โจรถ่อยจากที่ใดกัน!”
ชายหนุ่มที่วิ่งออกไปไกลแล้วพลันลดฝีเท้าลง จากนั้นก็วิ่งกลับมา โต้ตอบตันคุยด้วยใบหน้าที่แดงก่ำจากโทสะ “คะ…ใครบอกว่าข้าเป็นโจร! ข้าเป็นเหมินเค่อในจวนฉางอันจวินต่างหาก!”
ตันคุยชะงัก อี้เจียงเดินออกมาตรงหน้าประตู แสงไฟตรงเฉลียงทางเดินสว่างไม่พอ จึงเห็นแค่ชุดสีเขียวอมเทาครึ่งหนึ่งกับแก้มป่องข้างหนึ่งซึ่งแสดงถึงความโกรธของอีกฝ่าย
“ในเมื่อเป็นเหมินเค่อ เหตุใดถึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย”
พอได้ยินเสียงอี้เจียง เด็กหนุ่มก็เบนสายตามาที่นางทันทีแล้วทำท่าตื่นเต้น “อ๊าก!…ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อพูดกับผู้น้อยแล้ว!”
“…” นางงงเป็นไก่ตาแตก
ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัวว่าเสียกิริยาจึงทำท่าเขินๆ จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เดินเข้ามาสองก้าวแล้วโค้งคำนับนาง “ผู้น้อยเผยยวน ชื่นชมผู้ทรงภูมิมานานแล้ว วันนี้ได้มีวาสนาเจอตัวเสียที ไม่คิดเลยว่าผู้ทรงภูมิจะอายุน้อยเพียงนี้”
คราวนี้อี้เจียงเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็ผู้ชื่นชมนี่เอง