สองแก้มของเผยยวนแดงเรื่อ ลืมความขุ่นเคืองที่เถียงกับตันคุยไปหมด เอาแต่จ้องมองอี้เจียงตาเป็นประกาย “ชีวิตนี้ยวนมีความปรารถนาอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือได้สนทนากับผู้ทรงภูมิ เท่านี้แม้ตายก็ไม่เสียดาย ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิจะช่วยชี้แนะได้หรือไม่”
“เรื่องนี้…” อี้เจียงเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่เร้นอยู่หลังหมู่เมฆ “นี่ก็ดึกแล้ว ถ้าอย่างไรไว้คราวหน้าแล้วกัน”
เผยยวนตบหัวตนเอง “ขอรับๆๆ ยวนใจร้อนไปเอง ผู้ทรงภูมิยังต้องอ่านจดหมายอีกนี่”
อี้เจียงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้มาหานาง อีกอย่างอยู่ในโลกนี้นางเป็นพวกไม่รู้หนังสือ ต่อให้รู้ว่าใครเป็นคนเขียนก็อ่านไม่ออกอยู่ดี
บ้าจริง นอกจากเขียนจดหมายแล้ว เหตุใดถึงไม่รู้จักฝากข้อความถึงกันตรงๆ เล่า
ตันคุยเดินเข้ามาสองก้าว คำนับเผยยวนเพื่อขอขมา แต่สีหน้ายังดูไม่สบอารมณ์เช่นเดิม “ไม่ทราบว่าผู้ทรงภูมิทราบสัญลักษณ์ที่คนของสำนักกุ่ยกู่ใช้ยามเขียนจดหมายถึงกันได้อย่างไร”
อี้เจียงตั้งสติหันไปมองเผยยวน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมละสายตาจากนางเลย พอได้ยินคำถาม เขาก็ยืดอกขึ้นทันที “ขอพูดอย่างไม่ปิดบัง ข้าเคยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่มาก่อน”
“หือ?” ไม่ใช่แค่ตันคุย อี้เจียงก็เกิดสนใจขึ้นมาเช่นกัน “เช่นนั้นหรือ สาเหตุมาจากอะไร”
แววตาของเผยยวนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเคยเป็นเพื่อนบ้านของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ที่เขาอวิ๋นเมิ่งอยู่สามวัน!”
“…”
“…”
ตันคุยหันมาประคองอี้เจียงเงียบๆ “แม่นางกลับเข้าไปอ่านจดหมายดีกว่า”
“นั่นสินะ” นางหมุนตัวกลับเข้าเรือน
เผยยวนไม่ได้รับการตอบสนองตามที่หวังก็เดินตามเข้าเรือนอย่างหงอยเหงา แต่ไม่กล้าถอดรองเท้าเข้ามานั่ง ได้แต่ยืนมองอี้เจียงจากอีกทาง
ลมกลางคืนรวยรื่นเข้ามาทางหน้าต่าง ชายแขนเสื้อคลุมสีขาวตัวหลวมพลิ้วไหว เผยยวนรู้สึกว่าแม้แต่ใบหน้าด้านข้างที่เม้มปากขมวดคิ้วของนางยังดูโดดเด่นกว่าคนอื่น
จุ๊ๆ สมกับเป็นศิษย์ของผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่จริงๆ!
ตันคุยก้าวเข้ามาขวางสายตาเขาไว้ “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อจะอ่านจดหมายแล้ว ผู้ทรงภูมิโปรดกลับไปก่อนเถอะ”
“อา…ถ้าเช่นนั้นวันหลังยวนจะมาคารวะผู้ทรงภูมิใหม่” เผยยวนทั้งอิ่มเอมใจทั้งไม่อยากกลับ ปากเอ่ยลาแล้ว แต่เท้าไม่ยอมขยับเสียที
อี้เจียงคลี่จดหมาย กวาดตามองตัวหนังสือที่ราวกับเป็นอักขระสวรรค์อย่างใจลอย จนกระทั่งเผยยวนเดินออกไป นางก็หันไปพูดกับตันคุย “ช่วงก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในคุกข้าค่อนข้างลำบาก ตกกลางคืนตาจะมองอะไรไม่ค่อยชัด ถ้าอย่างไรเจ้าเข้ามาอ่านจดหมายให้ข้าทีแล้วกัน”
ตอนแรกนึกว่าตันคุยจะตอบรับ ปรากฏว่าอีกฝ่ายรีบถอยกรูดพร้อมส่ายหน้ายิก “ไม่ได้ขอรับ จดหมายฉบับนี้ผู้ทรงภูมิกงซีต้องเป็นผู้ส่งมาแน่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องส่งจดหมายถึงกัน ข้าที่เป็นคนนอกอ่านคงไม่ดี ถ้าตอนกลางคืนแม่นางอ่านไม่สะดวก รอพรุ่งนี้ตอนกลางวันค่อยอ่านเถอะขอรับ”
“เอ่อ…ก็ได้” นางก้มหน้าเก็บจดหมายใส่แขนเสื้อพลางคิดกับตนเองว่าจะต้องรีบอ่านหนังสือให้ออกโดยเร็ว
ใคร่ครวญอยู่สักพักอี้เจียงก็เกิดความคิด นางลุกเข้าไปในห้อง หยิบม้วนหนังสือส่งๆ มาม้วนหนึ่งพลางยื่นให้ตันคุย “เจ้าเอาม้วนหนังสือนี้ไปให้เผยยวนที บอกเขาว่าข้าขอรบกวนให้เขาช่วยคัดลอกให้หนึ่งฉบับ”
ตันคุยมองม้วนหนังสือไม้ไผ่ในมืออย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่รอช้า
ฝ่ายเผยยวนดีใจจนออกนอกหน้า ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อขอให้ข้าคัดลอกหนังสือให้! คืนนี้ไม่ต้องนอนกันแล้ว!
โปรดติดตามตอนต่อไป