บทที่ 2
เดือนสี่ดำเนินมาถึงช่วงปลาย แสงแดดแรงขึ้นทุกที แม้แต่ลมยังเจือไอร้อน สีสันดอกไม้ใบหญ้าด้านหลังจวนฉางอันจวินก็สดใสขึ้นเป็นลำดับ ต้นไม้ผลิใบอ่อน แตกกิ่งก้านสาขายื่นเข้ามาถึงหน้าต่าง แทบจะระหัวไหล่ตันคุยอยู่แล้ว เนื่องจากเขากำลังเกาะขอบหน้าต่างแอบมองเข้าไปข้างใน
ภายในเรือนมีโต๊ะเตี้ย เบาะสาน แขวนม่าน จุดกำยาน เผยยวนมือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือม้วนหนังสือไม้ไผ่ เดินกลับไปกลับมาพลางอ่านด้วยเสียงกังวาน
เด็กสาวนั่งขัดสมาธิหลังโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่ามวยผมที่รวบไว้เหนือท้ายทอยหลุดตั้งแต่เมื่อไร ผมจึงได้ร่วงตกลงมาระต้นคอ อี้เจียงสวมชุดสีขาวนั่งอยู่บนเบาะสาน ชายเสื้อคลุมยับยู่กองขยุ้ม นางเอามือซ้ายเท้าคาง หลุบตามองม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ถือเอาไว้ในมือขวา แพขนตายาวทาบเงาจางๆ บนพวงแก้ม ใบหน้ายังซีดเซียว แต่ดวงตามีชีวิตชีวา ดูแจ่มใสกว่าแต่ก่อนมาก
หากไม่ได้เห็นเองกับตา ตันคุยก็ไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าเด็กสาวคนนี้คือหวนเจ๋อ แต่ก่อนนางจะต้องนั่งตัวตรง ไม่รู้ว่าปล่อยตัวตามสบายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
เขาเบนสายตากลับไปหาเผยยวนอีกครั้ง คิดอย่างไรก็แปลก เหตุใดนางถึงได้ชอบให้เจ้านี่อ่านหนังสือให้ฟังนักนะ? ทั้งยังเอาแต่อ่านเล่มเดิมซ้ำไปซ้ำมา ไม่เบื่อบ้างหรือ
หรือว่า…
ความคิดสว่างวาบขึ้นในสมองตันคุย เขายกมือกุมอกพลางโซเซถอยหลัง จวบจนชนโคนต้นไม้ถึงได้หยุด
ไม่ใช่กระมัง นางถูกใจเจ้าหนุ่มนี่อย่างนั้นหรือ!
ตันคุยรับไม่ได้ รู้สึกยากจะทำใจเหมือนต้องยกบุตรสาวที่ฟูมฟักเลี้ยงดูมากับมือตั้งแต่เล็กจนโตให้แต่งงานกับบุรุษผู้ไม่เอาไหน!
ขณะกำลังวิตกจริตอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ก็มีคนจิ้มไหล่เขาจากข้างหลัง ตันคุยหันไปมองอย่างหงุดหงิด พอเห็นฝ่ายตรงข้ามก็รีบคารวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฉางอันจวิน”
ช่วงไว้ทุกข์ของอดีตจ้าวหวังสิ้นสุดลงแล้ว แต่พระพันปียังเศร้าระทมไม่สิ้นสุด ระยะนี้จ้าวจ้งเจียวจึงต้องเข้าวังหลวงบ่อยครั้งเพื่อปลอบโยนมารดา เห็นได้ชัดว่านี่ก็เพิ่งกลับมาเมื่อครู่ เขายังอยู่ในชุดทางการอันแสนซับซ้อน รัดเกล้าทองขับเน้นใบหน้าหมดจดให้ดูสุขุมขึ้น ความเป็นเด็กลดน้อยลงมาก
คงเพราะได้ยินเสียงอ่านหนังสือจากในเรือน จ้าวจ้งเจียวจึงเอียงหัวมองเข้าไปข้างใน ก่อนจะดึงสายตากลับมายิ้มๆ “ได้ยินว่าช่วงนี้ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมักจะขลุกอยู่กับเผยยวนเสมอ”
ตันคุยพยักหน้ารับว่าเป็นเช่นนั้น
“เห็นเซินซีบอกว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อกำลังพยายามมัดใจเผยยวนเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง ทั้งคู่จึงตัวติดกันตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร”
หากมิใช่เพราะเคยเห็นฤทธิ์เดชตอนจ้าวจ้งเจียวเล่นงานคนอื่นแบบไม่สนใจใครมาแล้ว ตันคุยจะต้องเชื่อว่ารอยยิ้มอารีและน้ำเสียงอ่อนโยนนี้เป็นของจริงแน่ “ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยขอรับ ฉางอันจวินโปรดอย่าได้เชื่อคำพูดของคนจิตใจต่ำทราม ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อมาทำงานให้ท่าน จะมีเจตนาเป็นอื่นได้อย่างไร”
“เช่นนั้นหรือ” จ้าวจ้งเจียวเบี่ยงตัว “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ประจันหน้ากันเองเถอะ ข้าขอดูอย่างเดียวพอ”
ตันคุยเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย รูปร่างสันทัด สวมเสื้อผ้าสีดำ แววตาแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน จะต้องเป็นเซินซีคนนั้นแน่นอน
“เจ้าว่าใครจิตใจต่ำทราม”
มือกระบี่หนุ่มหลุบตามองอีกฝ่าย เป็นเช่นนี้ให้เขารับมือสิบคนพร้อมกันยังได้ แต่เขาคร้านจะมีเรื่องมีราวด้วย
“ว่าอย่างไร พูดไม่ออกสินะ” เซินซีหันไปคารวะจ้าวจ้งเจียว “นายท่านปราดเปรื่อง หวนเจ๋อเพิ่งจะอายุแค่นี้ มีดีอะไรถึงได้เข้ามาอยู่ในจวน ท่านเก็บคนคนนี้ไว้ จะต้องกลายเป็นภัยในวันข้างหน้าแน่”
ฉางอันจวินขึ้นไปนั่งยองๆ บนหินก้อนใหญ่ที่อยู่อีกด้าน มือหนึ่งกระพืออกเสื้อเหมือนร้อน ขณะพยักหน้ายิ้มๆ
เซินซีเห็นเจ้านายทำทีคล้อยตามก็ยิ่งเอาใหญ่ “หากหวนเจ๋อมีความสามารถจริง เข้ามาอยู่ในจวนแล้วเหตุใดถึงไม่ตั้งใจทำงานรับใช้นายท่าน กลับเอาแต่ขลุกอยู่กับเผยยวนทั้งวัน ซีคิดว่านางมีแต่ชื่อเสียงกลวงๆ เท่านั้นเอง! ตามความเห็นของซี นายท่าน…”
“เซินซี!” เสียงตวาดพลันดังขึ้น
เจ้าของชื่อชะงัก หันไปมองก็เห็นเผยยวนกำลังเดินตรงเข้ามาหา ดวงตาถลึงกว้าง แก้มป่องด้วยความโกรธ ระหว่างเดินยังม้วนแขนเสื้อไปด้วย “ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ หากเจ้ากล้าว่าร้ายผู้ทรงภูมิหวนเจ๋ออีกแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าเด็ดขาด เตรียมตัวรอได้เลย!”
เซินซีไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้มาก่อน จึงถอยหนีไปก้าวหนึ่งอย่างหวาดๆ “อะ…อะไรกัน ถึงกับกล้าต่อยกันเลยรึ!”
เผยยวนปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อฝ่ายตรงข้ามพลางตะบันหมัดใส่อย่างแรง “ต่อยแล้วมีปัญหาอะไรรึ! เจ้าถือว่าตนเองมีชาติกำเนิดสูงส่ง ดูถูกดูแคลนข้ายังพอว่า แต่นี่ถึงกับกล้าเหยียดหยามผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่าบัณฑิตสำนักข่งจื่อเราไม่ยอมถูกผู้อื่นรังแกง่ายๆ!”
อี้เจียงที่ตามออกมาเห็นสองคนซัดกันอุตลุดอยู่บนพื้น ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี