อี้เจียงค้นม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ใช้เขียนบันทึกประจำวันออกมาเก็บใส่ห่อสัมภาระด้วยกันกับเสื้อผ้า ซึ่งได้มาแค่ห่อเล็กๆ เท่านั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาอีก ยิ่งเงินทองกับที่ดินดีๆ ที่เป็นเช่นภาพลวงตานั้นยิ่งไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้มาครอง นางกวาดตามองรอบเรือน รู้สึกไม่อยากจากไปเลยจริงๆ
ยิ่งคิดว่ากงซีอู๋อาจรอตนอยู่ที่แคว้นฉี นางยิ่งว้าวุ่นไม่เป็นสุข
ตันคุยเองก็กลับเรือนไปเก็บสัมภาระ สักพักก็กลับมาอีกครั้งเพื่อเรียกอี้เจียงให้ออกเดินทาง แต่พบว่านางไม่อยู่ในเรือน เขาเดินหารอบเรือนหนึ่งรอบถึงเห็นว่านางขึ้นไปนั่งยองๆ อยู่บนต้นไม้ที่ปลูกชิดกำแพง มีห่อสัมภาระสะพายหลัง มือหนึ่งจับขอบกำแพง ชะโงกตัวออกไปข้างนอกแล้วกว่าครึ่ง เขารีบร้องถาม “แม่นางกำลังทำอะไรอยู่”
อี้เจียงหมุนคอมามองอย่างไม่เต็มใจนัก แต่น้ำเสียงยังสูงส่งเยือกเย็นเหมือนปกติ “เอ่อ…ข้ารู้สึกว่าข้าไปแคว้นฉีด้วยก็ทำอะไรไม่ได้ เดิมทีข้าก็แค่มาอยู่ที่นี่ตามคำสั่งของผิงหยวนจวิน ตอนนี้ผิงหยวนจวินอยู่ในแคว้นฉิน ส่วนฉางอันจวินต้องไปแคว้นฉี แผนนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้แล้วล่ะ”
ตันคุยเบิกตากว้างแล้วเขย่งเท้าไปดึงแขนอี้เจียงเอาไว้ “แม่นางพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านรับปากผิงหยวนจวินไว้แล้วนะ!”
นางขมวดคิ้ว “ไม่ได้ทำสัญญากันสักหน่อย รับปากด้วยคำพูดก็นับด้วยหรือ”
โทสะกรุ่นๆ เริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาตันคุย “วิญญูชนต้องรู้จักทดแทนคุณ รักษาสัจจะ พูดคำใดคำนั้น ผิงหยวนจวินช่วยแม่นางออกมา แม่นางจะเสียสัตย์ได้หรือ”
อี้เจียงเถียงไม่ออก พอลองคิดดูโดยละเอียดก็รู้สึกผิดนิดๆ
นางตัดสินเอาเองว่าคนโบราณโง่เขลา ไม่รู้จักยืดหยุ่น แต่ลืมไปว่านี่เป็นคุณธรรมล้ำค่าที่หายากที่สุด คุณธรรมข้อนี้ถูกลบเลือนไปกับกาลเวลานับพันปี ในขณะที่นางกลับเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา
“เจ้าพูดถูก เมื่อครู่ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น”
ตันคุยถอนหายใจ “คุยรู้อยู่แล้วว่าแม่นางต้องไม่ใช่คนเช่นนั้น”
อี้เจียงที่ถูกเขาประคองลงมาอย่างระมัดระวังยิ้มได้เหยเกยิ่งกว่าตอนร้องไห้ “แน่นอนอยู่แล้ว”
ทหารทำหน้าที่เปิดทาง ราษฎรออกมามุงดูทั้งสองฝั่ง สายลมอบอุ่นแต่ก็เจือไอเย็นอยู่บ้างเล็กน้อย เมืองหานตันให้บรรยากาศที่ผิดแปลกและคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน
พระพันปีจ้าวคงจะสงสารบุตรชาย ขบวนรถม้าอารักขาจึงยิ่งใหญ่ทรงเกียรติ มีขุนนางส่งเสด็จเชิญจ้าวจ้งเจียวออกจากจวน วันนี้เขาสวมชุดแขนกว้างสีเข้ม ก้าวขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว อี้เจียงที่มองอยู่ไกลๆ รู้สึกสงสารเล็กน้อย ถึงอย่างไรเจ้าตัวก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ตันคุยกับเผยยวนนั่งเบียดกันในรถม้าคันข้างหลัง จวบจนอี้เจียงขึ้นรถแล้ว ทั้งสองถึงได้ยอมสงบปากสงบคำ ไม่ต่อล้อต่อเถียงกันอีก
ออกเดินทางยามเฉิน ตอนรถแล่นออกจากประตูเมือง ดวงอาทิตย์กำลังลอยเด่นอยู่บนฟ้าพอดี รถคันหน้าพลันหยุดแล่น รถที่อี้เจียงนั่งอยู่จึงต้องหยุดตาม นางโผล่หน้าออกไป เห็นจ้าวจ้งเจียวชะโงกตัวออกจากรถมองไปยังที่สูงทางด้านหลัง จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาด้วยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก
ขบวนรถแล่นต่อ นางมองตามสายตาเมื่อครู่ของเขาด้วยความอยากรู้ ขุนนางกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนประตูเมือง ตรงกลางสุดมีบุรุษคนหนึ่งยืนต้านลมยกแขนประสานกัน ใส่ชุดสีดำ สวมมาลาห้อยมุกบนศีรษะ เสื้อแขนกว้างปลิวสะบัดตามลม ดูลักษณะก็รู้ว่าต้องเป็นจ้าวหวังตัน
ท่าทางจ้าวหวังตันจะเป็นห่วงน้องชายคนนี้อยู่มาก เสียดายที่จ้าวจ้งเจียวเมินใส่
ด้านตะวันออกของแคว้นฉีติดทะเล ด้านเหนือมีเขาสูง พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ ราษฎรมีชีวิตผาสุก หลังออกเดินทางมาหลายวัน ขบวนรถม้าก็มาถึงเมืองหลินจือ โดยได้รับการทักทายจากแสงแดดที่แรงจ้าและลมภูเขาซึ่งเจือไอเย็น
เอาเข้าจริง เนื่องจากก่อนหน้านี้นอนไม่พอ เวลาที่อยู่บนรถม้าอี้เจียงจึงนั่งสัปหงกเสียส่วนใหญ่ แต่นางก็ต้องพยายามถ่างตาเพื่อรักษาท่าทีอันเยือกเย็นสูงส่งของตนเอง จึงสะลึมสะลือมาตลอดทาง ไม่ได้สังเกตทิวทัศน์รอบตัวสักเท่าไร
เมืองหานตันส่งตัวประกันมาให้ ชาวบ้านร้านตลาดจึงพากันออกมาดู ทั้งยังเดินตามขบวนรถม้าจนแน่นถนน อี้เจียงขยี้ตา เกาะประตูรถมองออกไปข้างนอก พบว่าคนที่นี่แต่งตัวเรียบง่ายกว่าชาวเมืองหานตันมากนัก มิน่าเล่า พวกเขาถึงได้แห่ออกมาดูคนแคว้นจ้าวกันอย่างครึกครื้น ก็ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการประทินโฉมและการแต่งกายนี่
จวบจนมาถึงโรงเตี๊ยมจุดพักม้า ชาวบ้านที่เดินตามจึงค่อยสลายตัวไป