เซินซีเป็นลูกหลานชนชั้นสูงที่เก่งแต่ปาก ต่อยตีกับใครไม่เป็น ไม่ทันไรก็ถูกต่อยลงไปกองกับพื้นพลางร้องโหยหวน ก่นด่าเผยยวนว่าเสียแรงที่เล่าเรียนวิชาปราชญ์ สลับกับร้องขอความช่วยเหลือจากฉางอันจวินอย่างน่าเวทนา
อี้เจียงเลยเพิ่งรู้ว่าที่แท้จ้าวจ้งเจียวก็อยู่ด้วย นางเหลือบตามองไป พบว่าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งคนนั้นกำลังนั่งยองๆ อยู่บนก้อนหินใต้ต้นไม้
ไม่เพียงนั่งยองๆ บนก้อนหินอย่างไม่ห่วงหน้าตา ฝ่ายนั้นยังเอามือเท้าขมับมองนาง ไม่สนใจ ‘สถานการณ์ศึก’ ที่อยู่อีกด้านแม้แต่นิดเดียว
เวลานี้ใกล้เที่ยงแล้ว ร่มไม้ช่วยบดบังแสงอาทิตย์ ทว่ายังมีแสงบางส่วนเล็ดลอดลงมาตรงหน้าเฉลียง แม้อี้เจียงจะแต่งชุดบุรุษ แต่ผมหลุดรุ่ยร่าย เสื้อคลุมหลวมสบาย ดูนุ่มนวลกว่าเวลาแต่งตัวเรียบร้อยเต็มยศเป็นไหนๆ
จ้าวจ้งเจียวกวาดตามองอี้เจียงตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ ก่อนคลี่ยิ้มตรงมุมปาก “ที่แท้เจ้าก็เป็นสตรีจริงๆ”
อี้เจียงเตรียมตัวรับการโจมตีอยู่นาน นึกไม่ถึงว่าเขาจะโพล่งออกมาเช่นนี้ นางเม้มปากเล็กน้อย “ข้าก็ไม่เคยพูดว่าตนเองเป็นบุรุษ”
ฝ่ายตรงข้ามเลื่อนสายตามามองช่วงอกนางสองรอบ ก่อนจะยิ้มเป็นนัยพลางเบนสายตาไปทางอื่น
เลือดอุ่นๆ พลันฉีดขึ้นหน้าอี้เจียง หมายความว่าอย่างไร ข้ายังโตไม่เต็มที่ต่างหาก! เมื่อก่อนน่ะ…
“เอาล่ะ” จ้าวจ้งเจียวลุกขึ้น โบกมือให้ชายหนุ่มสองคนที่ต่อสู้กันอยู่บนพื้น “ผู้ทรงภูมิทั้งสองท่านพอแค่นี้เถอะ”
ตันคุยยืนกอดอกอมยิ้มมองอย่างสนุกสนานอยู่นาน พอได้ยินเช่นนั้นก็รีบเข้าไปแยกทั้งคู่
เผยยวนเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผาก เขาหันไปคำนับจ้าวจ้งเจียวด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ยวนกับผู้ทรงภูมิหวนเจ๋ออ่านบทกวีเพื่อพูดคุยถึงวิชาความรู้ที่สาบสูญไปแล้ว แต่เซินซีกลับเอามาพูดเช่นนี้ ยวนโมโหจนควบคุมตนเองไม่อยู่จริงๆ นายท่านโปรดอภัยด้วย”
จ้าวจ้งเจียวยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าเข้าใจแล้ว ผู้ทรงภูมิอย่ากังวลไปเลย”
“นายท่านเชื่อพวกเขาง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร!” เซินซีเอามือกุมแก้มที่ปูดบวมพลางลุกขึ้นจากพื้น หัวหูเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด
เผยยวนถลึงตาใส่เซินซีอีกครั้ง จ้าวจ้งเจียวรีบยกมือห้ามทัพ หันไปพูดกับเซินซี “ถ้าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อคิดจะมัดใจดึงคนเข้าเป็นพวกจริงอย่างที่เจ้าว่า ก็แสดงว่านางเก่ง ได้คนเช่นนี้มาใช้งาน ข้าควรดีใจถึงจะถูก”
เซินซีอึ้งไปจนพูดไม่ออก
“เอาล่ะ แยกย้ายกันเสียที ข้าอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว ต้องรีบไปถอดไอ้ชุดนี่ออก” จ้าวจ้งเจียวยกแขนเสื้อขึ้นบังแดดเดินออกไป
เซินซีกวาดตามองสามคนที่เหลือ ไหนเลยจะกล้าอยู่ต่อ เอามือกุมแก้มวิ่งออกไปบ้าง
อี้เจียงเห็นรอยเลือดหลายรอยบนหลังมือเผยยวนก็กลั้นยิ้ม “รีบไปทายาเถอะ”
แก้มป่องของอีกฝ่ายคล้ายถูกปล่อยลมทันที ดวงตาที่มองอี้เจียงเป็นประกายวิบวับ “ผู้ทรงภูมิห่วงใยยวนถึงเพียงนี้ ยวนดีใจเหลือเกิน”
หนังตาของตันคุยกระตุกอย่างแรง เขาเดินเข้าไปใช้ฝ่ามือตบเข้าที่แผ่นหลังของชายหนุ่ม “มา ข้าจะทายาให้เจ้าเอง”
เผยยวนแทบหน้าคะมำลงไปจูบพื้น แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวมือกระบี่ กลับเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานมองอี้เจียงเหมือนเดิม ตันคุยเห็นแล้วต้องรีบลากอีกฝ่ายออกเดินด้วยความโมโห
อี้เจียงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในเรือน ถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่ยังวางแผ่อยู่บนโต๊ะ
นางพยายามสุดชีวิตเพื่อจดหมายฉบับหนึ่ง แรกสุดขอให้เผยยวนคัดลอกหนังสือให้หนึ่งเล่ม จากนั้นก็ให้เขาอ่านต้นฉบับให้ฟัง ระหว่างนั้นนางก็ค่อยๆ จดจำตัวอักษรในฉบับคัดลอกตามที่เขาอ่าน
นี่เป็นวิธีโง่ๆ ที่ได้ผลยิ่ง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นตัวอักษรจีนเหมือนกัน หลายตัวเหมือนตัวอักษรจีนในปัจจุบันมากทีเดียว ช่วงที่ผ่านมานางจำตัวอักษรได้ไม่น้อยแล้ว แต่เวลาเขียนออกจะทุลักทุเลอยู่สักหน่อย เพื่อให้เขียนคล่องมือโดยเร็ว นางต้องแอบฝึกเขียนเวลาอยู่คนเดียวตอนกลางคืน ไม่ให้ตันคุยจับได้
เฮ้อ ถ้าสมัยก่อนขยันได้เท่านี้ คงสอบติดมหาวิทยาลัยชิงหวาไปนานแล้ว